ZTE เดินหน้า ลุย 5G หลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯยกเลิกคำสั่ง “ย้ำ” ไม่กระทบความสามารถหลักขององค์กร
แม้คำสั่งห้ามบริษัทในอเมริกาในการขายชิ้นส่วนให้ ZTE จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทในระยะเวลากว่า 2 เดือนที่ผ่านมา แต่ ZTE ยังคงรักษาความสามารถหลัก (Core Competitiveness)ไว้ได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะทีมนักวิจัยพัฒนาที่ถือเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ของบริษัท ซึ่งปฎิบัติงานภายใต้กฎเกณฑ์และระเบียบข้อบังคับของบริษัทอย่างเคร่งครัด ZTE ยืนยันว่าการส่งเสริมโครงการวิจัยและการพัฒนาต่างๆยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และฟื้นตัวอย่างรวดเร็วอีกด้วย เมื่อเปรียบเทียบจำนวนของพนักงานที่ลาออกในช่วงปีนี้กับปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่าจำนวนพนักงานที่ลาออกเพิ่มขึ้นเพียง 100 รายเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถหลักขององค์กรแต่อย่างใด
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้กระบวนการผลิตและการดำเนินงานของบริษัทต้องระงับลงชั่วคราว และส่งผลกระทบต่อโครงการใหม่หลายโครงการ ถึงกระนั้นลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของ ZTE และรอคอยการยกเลิกคำสั่งห้ามฯ บริษัทยืนยันว่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขผลกระทบ พร้อมดูแลชดเชยความเสียหายต่อระบบการบำรุงรักษาอุปกรณ์ของลูกค้าให้เต็มที่ และมั่นใจว่ากระบวนการดำเนินงานทุกอย่างจะกลับเป็นปกติภายในเวลาอันสั้น บริษัทยืนยันที่จะให้ความรับผิดชอบต่อคู่ค้ารวมถึงธนาคารและซัพพลายเออร์ทุกเจ้า ว่าบริษัทจะไม่มีการผิดนัดชำระเงินให้กับซัพพลายเออร์ ทำให้ซัพพลายเออร์ส่วนใหญ่เชื่อมั่นและยังคงสนับสนุน ZTE อย่างสม่ำเสมอ
ถึงแม้จะมีอุปสรรคในช่วงก่อนหน้านี้ ทีมวิจัยและพัฒนาของ ZTE ก็ยังเดินหน้าพัฒนานวัตกรรม 5G อย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมพร้อมรองรับการใช้งานในอนาคต ZTE ยืนยันความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม 5G ทั้ง3 ด้าน ดังนี้ ด้านแรกคือเป็นเจ้าแรกที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ด้านเทคโนโลยี 5G เพราะปัจจุบัน ZTE ได้ใช้เทคโนโลยี 5G บนเครือข่าย 4G จึงมีข้อได้เปรียบในการเป็นผู้ให้บริการรายแรกเมื่อยุค 5G มาถึง ข้อสองคือเป็นผู้นำด้านประสิทธิภาพของเทคโนโลยี เนื่องจาก ZTE มีอัลกอริทึมของ5Gที่มีประสิทธิภาพสูงบนเครือข่าย 4G ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำหรับการทำงานสำหรับผู้ใช้ระบบ 5Gในอนาคต ด้านที่สามคือความได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิต (Economy of scope) เนื่องจากจีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ลงทุนในด้านนวัตกรรม5G และZTEมีจีนเป็นฐานหลักในการผลิต จึงมีข้อได้เปรียบในด้านนี้
และประเด็นสุดท้ายที่ต้องกล่าวถึงคือ ปัจจุบันผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมระดับสากลมีอยู่ทั้งหมดเพียงสี่เจ้าคือ หัวเหว่ย โนเกีย อิริคสันและ ZTE เป็นผู้บริการเพียงหนึ่งในสองบริษัทที่มีความสามารถจะให้บริการโซลูชั่นสำหรับเทคโนโลยี5Gได้ครอบคลุมทั้งระบบแบบ End-to-End ดังนั้น ZTEจึงเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญสำหรับตลาดโทรคมนาคมในยุค 5Gที่กำลังจะมาถึง และเป็นตัวแปรที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง