1

เมกาบางนาขอเชิญชมนิทรรศการ “เรารักในหลวงรัชกาลที่9” (We Love the King) เริ่มแล้ววันนี้ – 13 ม.ค. 2560

Create_DP_We lover the king

เมกาบางนาขอเชิญชมนิทรรศการ “เรารักในหลวงรัชกาลที่9” (We Love the King) เริ่มแล้ววันนี้ – 13 ม.ค. 2560

ศูนย์การค้าเมกาบางนา ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้อันมีแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ด้วยการเผยแพร่พระเกียรติคุณพร้อมกับพระราชกรณียกิจและพระอัจฉริยภาพในด้านต่างๆ อันก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อปวงชนชาวไทย โดยเปิดพื้นที่ให้ประชาชน นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมพระบารมีผ่านนิทรรศการ “เรารักในหลวงรัชกาลที่9” (We Love the King) ซึ่งแบ่งเป็น 3 โซน คือ (1) โซนนิทรรศการภาพวาด I Love the King โดย มล.จิราธร จิรประวัติ (2) โซนต้นไม้ของพ่อ (Tree of the King) และ (3) โซนนิทรรศการ 9 ห้อง 9 ความประทับใจ เริ่มแล้ววันนี้ – 13 ม.ค. 2560

โซนนิทรรศการภาพวาด I love The King โดยมล.จิราธร จิรประวัติ จัดแสดงภาพวาดลายเส้นหมึกดำและดินสอผลงานของ มล.จิราธร จิรประวัติ (มล.โต) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากความจงรักภักดี ความรักที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รวม 20 ภาพ พร้อมเปิดจำหน่ายเสื้อT-shirtและชุดโปสการ์ดสกรีนลายภาพวาดจากนิทรรศการดังกล่าว โดยนำรายได้ทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่ายร่วมสมทบทุนให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่างๆ ซึ่งเปิดจำหน่ายเสื้อยืดสกรีนลายภาพวาด ราคาตัวละ 299 บาท (จำกัดท่านละไม่เกิน 5 ตัว) และชุดโปสการ์ดลายภาพวาด 1 ชุด มี 9 ภาพ ราคาชุดละ 179 บาท (จำกัดท่านละไม่เกิน 5 ชุด) จำหน่ายตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สินค้ามีจำนวนจำกัด จำหน่ายที่ บริเวณเมน เอนทรานซ์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าเมกาบางนา

โซนต้นไม้ของพ่อ (Tree of the King) ต้นไม้จอแอลอีดีขนาดสูงกว่า 14 เมตร พร้อมการแสดงแสง สี เสียง สุดตระการตา พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมส่งข้อความถวายอาลัยผ่านระบบดิจิตอล โดยข้อความจะถูกส่งผ่านจอที่อยู่บนต้นไม้ พิเศษทุกวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ พบการแสดงโดยเทคโนโลยี Mapping Projection ในชื่อชุด We Love the King ณ บริเวณเมน เอนทรานซ์

โซนนิทรรศการ 9 ห้อง 9 ความประทับใจ รวมเรื่องราวสุดประทับใจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เริ่มวันที่ 28 ธ.ค.2559 – 13 ม.ค. 2560 โดยแบ่งออกเป็นทั้งหมด 9 ห้อง ดังนี้
• ครอบครัวของพ่อ (His Royal Family) พระราชประวัติโดยย่อของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตั้งแต่ครั้นทรงพระเยาว์ ตลอดจนพระราชโอรสและพระราชธิดา ทั้ง 4 พระองค์
• กษัตริย์ยอดกตัญญู (His Mother) ห้องนี้จะรวบรวมเรื่องเล่าต่างๆ สุดประทับใจที่แสดงถึงความรัก ความกตัญญูของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ที่มีต่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อันจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้อมนำไปปฏิบัติและตระหนักถึงความสำคัญของความกตัญญู
• รอยยิ้มของพ่อ (His Romance) บอกเล่าเรื่องราวความรัก ความผูกพันของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ครั้นที่ยังทรงประทับอยู่ที่ต่างประเทศผ่านการบอกเล่าของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถและบุคคลที่ใกล้ชิด
• กษัตริย์นักศิลป์ (His Art) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเชี่ยวชาญด้านจิตรกรรม โดยเฉพาะภาพวาดฝีพระหัตถ์แบบภาพเหมือน รวมถึงทรงเชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพทั้งกล้องแบบธรรมดาและกล้องภาพยนตร์ อีกทั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชดำเนินไปเยี่ยมเยือนประชาชนก็จะทรงใช้กล้องถ่ายภาพด้วยพระองค์เอง เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศได้อีกด้วย ซึ่งห้องนี้จะรวบรวมผลงานของพระองค์ที่หาชมได้ยากมาจัดแสดงไว้
• บทเพลงของพ่อ (His Appreciation) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงได้รับการยกย่องให้เป็นองค์อัครศิลปินแห่งชาติ ทรงแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพทางดนตรี ผ่านทางเพลงพระราชนิพนธ์ทั้งหมด 48 เพลง พิเศษเฉพาะในวันเสาร์ อาทิตย์ จะมีวงดนตรี Orchestra มาร่วมบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ ให้ผู้ร่วมงานได้ฟังตลอดงาน นอกจากนี้ในห้องนี้ผู้ชมงานยังสามารถรับฟังเพลงพระราชนิพนธ์ได้จาก Sound Dome ได้อีกด้วย
• กษัตริย์นักกีฬา (His Energy) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงโปรดกีฬาต่างๆ อาทิ เรือใบ แบดมินตัน สกีน้ำ เป็นต้น ทรงพระปรีชาสามารถในการทรงเรือใบ ซึ่งทรงร่วมการแข่งขันเรือใบระหว่างประเทศในการแข่งขันกีฬาแหลมทองโดยทรงชนะเลิศ ห้องนี้จะจัดจำลองภาพในรูปแบบสามมิติ ขณะทรงเรือใบ ให้ผู้ชมงานสามารถถ่ายภาพเป็นทที่ระลึกได้
• เรื่องเล่าของสัตว์ทรงเลี้ยง (His Loyalist) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระเมตตาต่อสัตว์ต่างๆ และได้รับอุปการะไว้อีกมากมายที่พสกนิกรไม่เคยรู้จักมาก่อน นอกจากคุณทองแดงแล้วยังมีสัตว์ทรงเลี้ยงที่จะมาแนะนำให้ได้รู้จักกันผ่านนิทรรศการในห้องนี้
• เรื่องเล่าของพ่อ (His Humor) จัดแสดงบทความที่ถ่ายทอดจากบุคคลที่ได้ใกล้ชิดกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บอกเล่าเรื่องราวพระอารมณ์ขันของพระองค์ ให้ผู้ชมงานได้รับรู้ถึงอีกมุมของพระองค์
• พระราชกรณียกิจของพ่อ (His Obligation) ห้องนี้จัดแสดงถึงพระราชกรณียกิจ และพระราชดำริโครงการสำคัญต่างๆ พร้อมภาพถ่ายขณะทรงงานมาไว้ให้ประชาชนได้ศึกษาและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวที่ทรงงานตลอด 70 ปีที่ทรงครองราชย์ เพื่อความอยู่ดี กินดีของปวงชนชาวไทย อาทิ โครงการ ช่างหัวมัน กังหันชัยพัฒนา เป็นต้น
• เรารักพ่อหลวง (We Love the King Gallery) ห้องไฮไลท์รวบรวมภาพทั้งหมดภายในงาน แสดงบนจอ LED Screen ขนาดใหญ่ ให้ลูกค้าได้ถ่ายภาพบรรยากาศเป็นที่ระลึก
พร้อมด้วยกิจกรรมพิเศษเพื่อให้ประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงความจงรักภักดีต่อในหลวง รัชกาลที่ 9 โดยการร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีผ่านทางห้องบันทึกเสียง โดยทุกๆ คลิปจะถูกนำมาร้อยเรียงเป็นเพลงสรรเสริญพระบารมีที่จะนำมาเปิดและร้องร่วมกัน ในวันที่ 31 ธ.ค. และร่วมฟังบทเพลงพระราชนิพนธ์บรรเลงโดยวง Bangkok Symphony Orchestra ขับร้องโดยคุณรัดเกล้า อามระดิษ ณ บริเวณเมกา พลาซ่า ศูนย์การค้าเมกาบางนา ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.mega-bangna.com หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2105 1000

มร. คริสเตียน โอลอฟสัน กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าเมกาบางนา เปิดเผยว่า “นับเป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้ว ที่ปวงชนชาวไทยทั้งชาติต่างโศกเศร้าอาลัยอย่างที่สุด อันเนื่องมาจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การแสดงความจงรักภักดีและถวายความอาลัยที่ดีที่สุด คือเจริญรอยตามพระยุคลบาท สืบสานพระราชปณิธานเพื่อสร้างเจริญรุ่งเรืองให้บ้านเมือง เมกาบางนาสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงขอนำเสนอนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทั้งในด้านพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ รวมถึงพระปรีชาสามารถด้านต่างๆ เพื่อให้พสกนิกรชาวไทยได้ชื่นชมพระบารมี และสร้างแรงบันดาลใจให้กับประชาชนได้น้อมนำไปปรับใช้ในชีวิต ถึงแม้นว่าพระองค์จะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่พระองค์จะยังทรงเป็นพระราชาผู้ทรงธรรมของปวงชนชาวไทยและทรงสถิตมั่นในดวงใจพสกนิกรไทยตราบชั่วนิรันดร์”