สเปเชียลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ ชูนวัตกรรมใหม่ สร้างมูลค่าเพิ่มข้าวไทย พร้อมขยายแนวรุก เร่งจับมือพันธมิตรสร้างแบรนด์สมุนไพรไทยอันดับ 1 อาเซียน
สเปเชียลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ ชูนวัตกรรมใหม่ สร้างมูลค่าเพิ่มข้าวไทย
พร้อมขยายแนวรุก เร่งจับมือพันธมิตรสร้างแบรนด์สมุนไพรไทยอันดับ 1 อาเซียน
สเปเชียลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ (Specialty Natural Products; SNP) โดยรศ.ดร.พรรณวิภา กฤษฎาพงษ์ ประธานบริหาร ตอกย้ำผลิตสารสกัดสมุนไพรไทยแห่งแรกในประเทศ ขยายแนวรุกธุรกิจสมุนไพร ชูนวัตกรรมใหม่ สร้างมูลค่าเพิ่มข้าวไทย ประกาศก้าวสู่ 2 ทศวรรษแห่งความสำเร็จ ขยายแนวรุกตลาดสมุนไพรไทย มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท ด้วยแผนการตลาด B2B และ B2C พร้อมจับมือพันธมิตรสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย ยกเป็นปัจจัยที่ 5 สร้างคุณภาพชีวิตคนไทย มั่นใจขึ้นแท่นผู้ผลิตสารสกัดสมุนไพรไทยอันดับ 1 ในอาเซียน
บริษัท สเปเชียลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสารสกัดจากสมุนไพรไทยที่ได้มาตรฐานระดับโลก กล่าวว่า “ตลาดสมุนไพรไทยได้รับความนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีมูลค่าตลาด 3 หมื่นล้านบาท และขยายตัวประมาณ 10% ต่อปี ทำให้ธุรกิจผลิตสารสกัดจากสมุนไพรไทยมีอัตราการเติบโตตามไปด้วย โดยมีมูลค่าตลาดประมาณ กว่า 3,000 ล้านบาท
บริษัท สเปเชียลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2542 ถือเป็นบริษัทแห่งแรกในประเทศไทยที่ผลิตสารสกัดหัวเชื้อสมุนไพรไทยที่มีการทำมาตรฐาน หรือการทำ standardized ผ่านการรับรองมาตรฐานต่างๆ อาทิ GMP, ISO9001:2008, HALAL, HACCP ที่ใช้ในวงการแพทย์ ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอาง พร้อมผสมผสานองค์ความรู้ดั้งเดิม หรือภูมิปัญญาของบรรพบุรุษกับพื้นฐานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา คิดเป็นสัดส่วน 30% ของค่าใช้จ่ายในแต่ละปี เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและคุณภาพสูง ภายใต้แบรนด์ Specialty Natural Product (SNP) อาทิ สารสกัดเหงือกปลาหมอ, สารสกัดฟ้าทะลายโจร, สารสกัดรากสามสิบ, สารสกัดสมอพิเภก, สารสกัดกระชายดำ เป็นต้น
ล่าสุดในปี 2562 บริษัทได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยนำข้าวซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทยที่มีการส่งออกไปทั่วโลก แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายทางด้านราคาที่สูงกว่าคู่แข่ง ดังนั้นการต่อยอดให้กับข้าวไทยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม จึงเป็นทางเลือกที่จะทำให้ข้าวไทยมีจุดแข็งในการสร้างความแตกต่าง และเพิ่มโอกาสการส่งออกท่ามกลางการแข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรง โดยบริษัทพัฒนาสินค้านวัตกรรมจากข้าวออกมา 3 ตัว ได้แก่ Ricocoside สารลดแรงตึงผิวจากธรรมชาติ เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ชำระล้าง อาทิ แชมพู สบู่ โฟมล้างหน้า ให้ความอ่อนโยน ไม่ระคายเคือง และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม Ricallus สารสกัดสเต็มเซลล์จากข้าวไทย ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ในการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์โดยใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบ มีคุณสมบัติชะลอความชรา ต้านอนุมูลอิสระ สามารถนำเป็นสารประกอบในเครื่องสำอางได้ และ MoistuRice สารให้ความชุ่มชื้นที่ได้จากกระบวนการหมักข้าวด้วยจุลินทรีย์ มีคุณสมบัติเพิ่มประสิทธิภาพให้สารกันเสีย ช่วยลดการใช้สารกันเสียในเครื่องสำอางต่าง ๆ ได้
“ก้าวต่อไปของบริษัทฯ คือการมุ่งสู่การเป็นบริษัทผู้ผลิต สารสกัดมาตรฐานสมุนไพรไทยอันดับหนึ่งของอาเซียน และมีส่วนแบ่งของตลาดโลกมากขึ้น ด้วยการทำแผนธุรกิจแบบ B2B (Business-to-Business) และการตลาดแบบ B2C (Business-to-Consumer) พร้อมเสริมด้วยกลยุทธ์ Product Strategy ด้วยปณิธานและความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสมุนไพรไทย ให้เป็นปัจจัยที่ 5 สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้คน ลดอาการเจ็บป่วย สวยงามสดใส และมีอายุที่ยืนยาว” รศ.ดร.พรรณวิภา กล่าว
ปัจจุบัน บริษัท SNP มีอัตราการเติบโตปีละ 20% ลูกค้าหลัก คือผู้ผลิตสินค้าในประเทศไทย คิดเป็นสัดส่วน 70% และเป็นบริษัทต่างชาติ 30% อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี สวิตซอร์แลนด์ เยอรมนี และมาเลเซีย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีบริษัทรับจ้างผลิตสินค้า คิดค้นนวัตกรรม สูตรใหม่ๆ และให้คำปรึกษาอย่างครบวงจร ภายใต้ชื่อ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น จำกัด ที่ผลิตสินค้าให้กับบริษัทต่างๆ และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังอยู่ระหว่างพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Dr.Nine 8CT oil เป็นต้น และในอนาคตอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจ พัฒนาแบรนด์ผลิตภัณฑ์สมุนไพรออกสู่ตลาดอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น และช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
รศ.ดร.พรรณวิภา กล่าวว่า “นอกจากการคิดค้นนวัตกรรมและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ตลอด 20 ปี ของ SNP ได้มุ่งทำกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทย ด้วยการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด โดยบริษัทได้นำผลผลิตนั้นมาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มได้เป็น 100 เท่า 1,000 เท่า เมื่อเราสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้ในราคาที่สูง ผลกำไรนั้นก็คืนกลับสู่เกษตรกรเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันบริษัทมีฟาร์มภายใต้การดูแลของเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ จำนวนหลายพันไร่ รวมทั้งพื้นที่เพาะปลูกของบริษัทฯเอง จำนวนกว่าหลายพันไร่ ที่ ต.ป่าแป๋ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ที่มีการควบคุมมาตรฐานการผลิต ให้มีวัตถุดิบที่ดีก่อนเข้าสู่โรงงานผลิตต่อไป”
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : ปัชภัทร วิบูรณะพันธุ์ (แก้ว) โทร. 092-6426628 ที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์