บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) (“NPS”) รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2563 มีกำไรสุทธิ 587 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สวนทางกับเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวลงจากผลกระทบ COVID-19 พร้อมเดินหน้าลงทุนขยายระบบจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ รวมกว่า 150 MW ในช่วงปี 2564-2568
ผู้บริหาร NPS ยืนยันผลกระทบจาก COVID-19 ที่มีต่อยอดขายของธุรกิจไฟฟ้าจำกัดอยู่เพียงกลุ่มลูกค้าที่ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งต้องลดการผลิตประมาณ 30% ทำให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าลดลงในภาพรวม 3% ของปริมาณขายไฟฟ้าทั้งหมดของ NPS หรือประมาณ 10-15 ล้านบาทต่อเดือน ในขณะที่ยอดขายเอทานอลลดลงเล็กน้อยในเดือนเมษายน ตามมาตรการจำกัดการเดินทางภายในประเทศ ซึ่งกลับสู่ภาวะปกติตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ดังนั้นในไตรมาส 1/2563 NPS มีรายได้รวมทั้งสิ้น 4,108 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 393 ล้านบาท หรือ 11% และสูงกว่าไตรมาส 4/2562 จำนวน 239 ล้านบาท หรือ 6% ทั้งนี้เนื่องจากได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง และด้วยการบริหารจัดการด้านต้นทุนเชื้อเพลิง พร้อมกับควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิผล ทำให้ NPS มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2563 จำนวน 587 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 58 ล้านบาท หรือ 11% และมีความพร้อม ในการชำระคืนหุ้นกู้จำนวน 593.30 ล้านบาท ที่จะครบกำหนดในเดือนกรกฎาคม และจำนวน 2,968.30 ล้านบาท ในเดือนกันยายน
ในปี 2563 NPS มีแผนลงทุนสร้างสถานีไฟฟ้าและขยายระบบจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำเพิ่มเติมเพื่อรองรับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตเส้นใย อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 44 MW ในปี 2564 และเพิ่มขึ้นจนครบ 150 MW ในปี 2568 โดยอุตสาหกรรมดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท ในสวนอุตสาหกรรม 304 ตามแผนงานระยะยาวของลูกค้าในการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อป้อนตลาดส่งออก
สำหรับแผนการร่วมลงทุนกับบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ขนาดกำลังการผลิต 560 เมกะวัตต์ ซึ่งโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2568 และจะเปิดดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2570
……………………………………………