LPN จาก Developer สู่ Value Creator
รุก Mixed Target Development ใช้ “Family Zone” เป็นเรือธงปีมังกร
LPN การันตีจุดแข็งนวัตกรรม “ชุมชนน่าอยู่” และแบรนด์ “ลุมพินี” ที่ตอบสนองแนวคิด Affordable House ส่งผลยอดขายและรับรู้รายได้ปี 2554 ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ สำหรับปี 2555 รุกนวัตกรรมการอยู่อาศัยแบบบูรณาการ “Mixed Target Development” โดยใช้ “Family Zone” เป็น เรือธงใหม่ปูพรมสู่เส้นทางความสำเร็จจาก Developer สู่ Value Creator เน้นผสานความสมดุลระหว่างวิถีชีวิตในอดีตและปัจจุบัน โดยดีไซน์พื้นที่พิเศษสำหรับคนทุกวัยให้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวอย่างมีความสุข ประเดิมโครงการแรกของปี ลุมพินี วิลล์ นาเกลือ-วงศ์อมาตย์ ก่อนส่งคอนโดอีก 10 โครงการ ซึ่งมีต่างจังหวัดอีก 1-2 ทำเล เน้นทำเลที่มีความหนาแน่นของประชากร พร้อมส่งทาวน์โฮม 5 โครงการ สร้างการรับรู้ต่อเนื่องจนถึงปี 2557
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า จากจุดยืนของผู้บริหารที่มุ่งเน้นความสำคัญในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบอาคารชุดพักอาศัยด้วยการสร้างสรรค์คุณค่าให้กับครอบครัว “ลุมพินี” เพื่อการอยู่อาศัยที่มีความสุขแบบบูรณาการ โดยสร้างนวัตกรรมใหม่ขึ้นมา ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดี โดยเฉพาะนวัตกรรมการบริหารจัดการในรูปแบบ “ชุมชนน่าอยู่” ภายใต้ แบรนด์ “ลุมพินี” จนสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคอย่างสูง ด้วยการบอกต่อของกลุ่มลูกค้า สะท้อนออกมาเป็นยอดขายของบริษัทที่เติบโตขึ้นทุกปี
“ในปีที่ผ่านมา บริษัทได้ดำเนินการพัฒนาโครงการ และสร้างการเติบโตจากยอดขาย และรับรู้รายได้ ในปี 2554 ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จากการส่งมอบและโอนกรรมสิทธิ์ใน 5 โครงการ ได้แก่ ลุมพินี คอนโดทาวน์ รามอินทรา- นวมินทร์ (อาคาร D) ลุมพินี เพลส พระราม 9 (เฟส 2) ลุมพินี เพลส รัชโยธิน ลุมพินี พาร์ค ปิ่นเกล้า และ ลุมพินี เพลส พระราม 4-กล้วยน้ำไท เชื่อมั่นว่าเป็นผลจากการพัฒนาและปรับปรุงนวัตกรรมการอยู่อาศัยให้ผลิตภัณฑ์และบริการ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตอบสนองแนวคิด Affordable House รวมถึงดีมานด์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากของผู้ที่ต้องการบ้านหลังแรกภายใต้คุณภาพชีวิตที่ดี
กรรมการผู้จัดการ กล่าวเสริมว่า สำหรับแผนงานในปี 2555 บริษัทมั่นใจว่ายอดขายและรายได้จะเติบโต กว่า 10% จากการพัฒนาโครงการใหม่ 11 โครงการทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดโดยเน้นทำเลที่มีความหนาแน่นของประชากรสูง มูลค่ารวมของรายได้ประมาณกว่า 15,000 ล้านบาท โดยโครงการแรกที่จะเปิดตัวปี 2555 นี้ ได้แก่ ลุมพินี วิลล์ นาเกลือ-วงศ์อมาตย์ (อาคารเอ) มูลค่าโครงการ 830 ล้านบาท เป็นโครงการที่ 3 ในทำเลของเมืองพัทยา โดยมีการนำนวัตกรรมการอยู่อาศัยแบบบูรณาการ “Mixed Target Development” ที่ใช้ “Family Zone” มาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ “ลุมพินี” เพื่อให้เป็นแบรนด์ที่ครองใจกลุ่มลูกค้าได้ทุกวัย นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาโครงการแนวราบในรูปแบบ “ทาวน์โฮม” อีกประมาณ 5 โครงการ โดยในไตรมาสแรกของปี บริษัทเตรียมเปิดตัว 2 โครงการ ได้แก่ ลุมพินี ทาวน์ เพลส รัชโยธิน-เสนา และลุมพินี ทาวน์ เรสซิเดนท์ ลาดพร้าว สเตชั่น ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 770 ล้านบาท
สำหรับแนวคิด “Mixed Target Development” โดยใช้ “Family Zone” เป็นเรือธงนำร่องโครงการ LPN ในปีนี้เป็นนวัตกรรมการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ที่ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของอายุหรือไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย ตอบโจทย์สำหรับคนทุกวัยให้สามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในชุมชนที่น่าอยู่ของ “ลุมพินี” ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้เหมาะสม และลงตัว เน้นที่การผสานความสมดุลระหว่างวิถีชีวิตในอดีตและปัจจุบัน เพื่อเป็นการสร้างวัฒนธรรมการอยู่อาศัยร่วมกัน (Spirit of Togetherness) ห่วงใย (Care) แบ่งปัน (Share) ให้กับคนในชุมชน
“ตั้งแต่การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้สามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ในครอบครัว ได้แก่ ห้องครัวรวม (Family Kitchen) พื้นที่สำหรับชมภาพยนตร์ ห้องคาราโอเกะ (Recreation Area) ห้องพักผ่อนรวม (Family Lounge) และกิจกรรมนอกสถานที่ รวมถึงการออกแบบห้องชุดพักอาศัย ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ “Family Zone” เป็นคอนโดต้นแบบที่เหมาะสมกับ คนทุกวัย อย่างไรก็ตาม บางพื้นที่ภายในโครงการ เราได้ให้ความสำคัญกับการออกแบบห้องชุดและพื้นที่ส่วนกลางที่พร้อมรองรับการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยทุกเพศทุกวัย ด้วยรูปแบบ “Universal Design” อย่างไรก็ตาม บริษัทได้คำนึงถึงการอยู่อาศัยของผู้สูงวัยจึงได้พัฒนาห้องชุดในโครงการลุมพินี วิลล์ นาเกลือ-วงศ์อมาตย์ ตั้งแต่ชั้น 4-6 โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและการดำเนินชีวิต อาทิ การเพิ่มราวจับในห้องน้ำ รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ทุกชิ้นในห้องที่ไม่มีเหลี่ยมมุม และปุ่มฉุกเฉินในกรณีต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเสริมเรื่องของการให้บริการทางด้านสุขภาพ (Family Care) ด้วยการประสานความร่วมมือกับทางโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยาในกรณีส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน เพื่อสามารถดูแลและรักษาได้ทันท่วงที ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย”
ตลอดการพัฒนาโครงการเพื่อการอยู่อาศัยที่มีคุณภาพ บริษัทได้ริเริ่มนวัตกรรมในด้านต่างๆ มาโดยตลอด จนทำให้ได้รับรางวัล Thailand Most Innovative Companies 2011: In Search of Sustainable Innovation ซึ่งเป็นรางวัลที่แต่ละบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกพิจารณาจากผลการประเมิน โดยนักธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรม ประกอบผลการตัดสินใจโดยผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อคัดเลือกบริษัทที่มีนวัตกรรมโดดเด่นที่สุดจากบริษัทที่จดทะเบียนทั้งหมด โดย LPN เป็น 1 ใน 5 บริษัทในกลุ่ม Non-service ที่ได้รับรางวัลนี้ ทั้งยังได้รับ การประเมินว่ามีการกำกับดูแลกิจการอยู่ในระดับดีเลิศจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) เป็นปีที่ 2 โดยรางวัลที่ได้รับนั้นเชื่อมั่นว่ามาจากแนวทางในการบริหารจัดการของ LPN ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อตรง โปร่งใส และรักษาคำมั่นสัญญา