JSP โชว์ผลงานงวด 9 เดือน กวาดรายได้ 3,391.02 ล้านบาท โต 102.18% จากปีก่อน กำไรสุทธิ 30.74 ล้านบาท มั่นใจแนวโน้มธุรกิจ Q4/60 คึกคัก เติบโตดีต่อเนื่อง ตุน Backlog กว่า 4,000 ล้านบาท บุ๊ครับรู้รายได้ในปีนี้ 4,500 – 5,000 ล้านบาท

0
283
image_pdfimage_printPrint

นายสิทธิพร รัตนาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP เปิดเผยถึงผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 60 บริษัทมีผลประกอบการที่โดดเด่นและเป็นการทำสถิติผลประกอบการเติบโตสูงสุด โดยบริษัทมีรายได้รวม 3,391.02 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,677.24 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 102.18% และมีกำไรสุทธิ 30.74 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 มีรายได้รวม 1,259.94 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 474.29 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 165.65% และขาดทุนสุทธิ 23.94 ล้านบาท ซึ่งมีผลมาจากผลประกอบการพื้นที่เช่า และผลขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้าเนื่องจากเป็นช่วงปีแรกๆ ของการประกอบการ ซึ่งยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะรับรู้รายได้
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2560 และ ไตรมาส 3 ปี 2559 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมียอดโอนกรรมสิทธิอสังหาริมทรัพย์เพื่อการจำหน่าย จำนวน 602 ยูนิต และ 316 ยูนิต ตามลำดับ โดยในไตรมาส 3/60 มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 1,211.23 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 452.20 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 759.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 167.85% และมีรายได้จากการให้เช่าและบริการสำหรับไตรมาส 3/60 เท่ากับ 30.43 ล้านบาท หรือ 2.42 % ของรายได้รวม ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.21 ล้านบาท
โดยผลประกอบการมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากการรับรู้รายได้การโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาอย่างต่อเนื่องจากโครงการแนวราบ ได้แก่ โครงการ JSP City สุขุมวิท-แพรกษา, รังสิตคลอง1 บางปะกง-บ้านโพธิ์, ติวานนท์-บางกระดี่ และ J Grand (สาทร-กัลปพฤกษ์) จึงส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ สำหรับยอดทำสัญญาใหม่ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามียอดรวม 4,298.59 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการปรับราคาขายโครงการแนวราบที่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย
สำหรับทิศทางธุรกิจช่วงไตรมาส 4/60 คาดว่าจะยังเติบโตในทิศทางดี และเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งยอดโอนกรรมสิทธิ์ ยอดขาย ยอดโอน โดยมีการปรับกลยุทธ์ชะลอเปิดโครงการใหม่ เร่งบริหารและระบายสต็อกสินค้าโครงการแนวราบ เพิ่มยอดขาย และเร่งโอน โดยโครงการที่บริษัทจะมุ่งเน้นทำตลาด อาทิ โครงการเจ ซิตี้ อัสสัมชัญ-ศรีราชา, เจ ซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง, เจ วิลล่า วงแหวนบางใหญ่ และ เจ ซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง มูลค่าโครงการรวมกว่า 14,000 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีแบ็กล็อกในมือกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ประมาณ 4,500 – 5,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในต้นปี 2561 โดยในปี 2560 บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถทำรายได้ที่ 5,000 ล้านบาท หรือเติบโตไม่น้อยกว่า 20% ตามที่ตั้งเป้าไว้