FTE เผยไตรมาส 4 แนวโน้มดี ความต้องการใช้งานอุปกรณ์-ระบบดับเพลิงเพิ่ม มั่นใจรายได้ทั้งปีโต 10% หรือ 1,080 ล้านบาท รักษาอัตรากำไร 12-13% ลุยขยายตลาดโรงงานอุตสาหกรรม ประมูลงานภาครัฐ – เอกชนต่อเนื่อง เตรียมปิดดีล 10 โครงการ มูลค่า 120 ล้านบาท หนุน Backlog 400 – 420 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการ 9 เดือน รายได้ 727.48 ล้านบาท กำไร 89.03 ล้านบาท บริหารต้นทุนดี ดันอัตรากำไรขั้นต้น 28.04%
นายทักษิณ ตันติไพจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (FTE) ผู้นำธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์-ระบบดับเพลิงแบบครบวงจร บริการออกแบบ รับเหมาติดตั้ง ซ่อมแซม ตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ดับเพลิง และงานระบบที่เกี่ยวข้องกับการดับเพลิง เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอุปกรณ์-ระบบดับเพลิงไตรมาส 4 มีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง ความต้องการใช้งานเพิ่มขึ้นจากการลงทุนภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม บริษัทมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโต 10% หรือ 1,080 ล้านบาท และรักษาอัตรากำไรที่ระดับ 12-13% ตามเป้าหมายที่วางไว้
“หลังจากบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธุรกิจของบริษัทเป็นที่รู้จักของกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าไว้วางใจและเปิดโอกาสให้บริษัทนำเสนอสินค้าและบริการ ถือเป็นโอกาสสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทขยายตลาดอุปกรณ์-ระบบดับเพลิงเข้าไปในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยในช่วงไตรมาส 4 จะสามารถรับรู้รายได้งานระบบดับเพลิงจำนวนมาก บริษัทจึงมีแผนที่จะขยายตลาดโรงงานอุตสาหกรรม พร้อมเดินหน้าเข้าประมูลโครงการภาครัฐ-เอกชนอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอผลพิจารณางานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิงเพิ่มเติมอีก 10 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 120 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยทราบผลภายในไตรมาส 2 ปี 2562 นี้”นายทักษิณ กล่าว
ส่วนมูลค่างานในมือ (Backlog) ของบริษัท ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2561 อยู่ที่ 400 ล้านบาท แบ่งเป็นงานจัดจำหน่าย 130 ล้านบาท งานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิง 270 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้จำนวนประมาณ 230 ล้านบาท หรือประมาณ 57.50% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2562
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2561 บริษัทมีรายได้รวม 727.48 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 732.55 ล้านบาท จำนวน 5.07 ล้านบาท หรือลดลง 0.69% และมีกำไรสุทธิ 89.03 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 94.55 ล้านบาท จำนวน 5.52 ล้านบาท หรือลดลง 5.84%
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2561 มีรายได้รวม 248.54 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 279.89 ล้านบาท จำนวน 31.35 ล้านบาท หรือลดลง 11.20% และมีกำไรสุทธิ 30.57 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 40.10 ล้านบาท จำนวน 9.53 ล้านบาท หรือลดลง 23.76%
ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากโครงการขนาดใหญ่บางส่วนส่งมอบงานล่าช้า และมีบางโครงการที่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง ส่งผลให้บริษัทมีการตั้งสำรองหนี้สูญจำนวน 6.12 ล้านบาท ทั้งนี้คาดว่างานโครงการดังกล่าวจะสามารถส่งมอบงานได้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2562 นี้ อย่างไรก็ตามบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี ถึงแม้จะมีความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้บริษัทมีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นงวด 9 เดือนดีขึ้นอยู่ที่ 28.04% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 26.00%