FTE ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 20% แตะ 1,150 ล้านบาท รักษาอัตรากำไรสุทธิ 12-13% เดินหน้าขยายฐานลูกค้างานรับเหมาติดตั้งระบบดับเพลิงครบวงจรทั้งภาครัฐ-เอกชน เล็งเปิดสาขาระยองภายในมีนาคม 2561 บุกตลาดโรงงานอุตสาหกรรมภาคตะวันออก พร้อมเพิ่มทีมขายรองรับดีมานด์โต เผย Backlog 380 ล้านบาท มั่นใจกวาดงานประมูลเพิ่มต่อเนื่อง โชว์แผนสามปีครองแชมป์มาร์เก็ตแชร์ ขยายบริการครอบคลุมทั่วประเทศและตลาด CLMV
นายทักษิณ ตันติไพจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (FTE) ผู้นำธุรกิจนำเข้าและจำหน่าย บริการออกแบบ รับเหมาติดตั้ง ซ่อมแซม ตรวจสอบอุปกรณ์-ระบบดับเพลิงครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมปีนี้ไม่ต่ำกว่า 20% หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 1,150 ล้านบาท สัดส่วนรายได้แบ่งเป็นงานจำหน่ายอุปกรณ์ดับเพลิง 65% งานรับเหมาติดตั้งระบบดับเพลิง 35% และรักษาอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 12-13%
ทั้งนี้แผนการดำเนินงานของบริษัทจะเน้นการดำเนินงานใน 3 ส่วน ประกอบด้วย การขยายฐานลูกค้างานรับเหมาออกแบบติดตั้งระบบฯมากขึ้น เข้าประมูลงานของทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง อาทิ การไฟฟ้านครหลวง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ การขยายพื้นที่ให้บริการในประเทศ เปิดสาขาใน จ.ระยอง เพื่อให้บริการลูกค้าทั้งในส่วนของงานรับเหมาและจำหน่ายอุปกรณ์ คาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในช่วงมีนาคม 2561 และเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/61 และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านงานขาย โดยเพิ่มทีมขายที่มีความเชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์รูปแบบต่างๆ รองรับความต้องการใช้งานของกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง
“ตลาดอุปกรณ์ดับเพลิงปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี ความต้องการใช้งานยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากการบังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม ที่กำหนดมาตรฐานของระบบดับเพลิงให้มีความปลอดภัยมากขึ้น การลงทุนโครงการใหม่ การพัฒนาระบบดับเพลิง ของภาครัฐ-ภาคเอกชน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนในอนาคตจากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะดึงดูดให้ผู้ประกอบการชาวไทยและต่างชาติตัดสินใจเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น”นายทักษิณ กล่าว
สำหรับมูลค่างานในมือ (Backlog) ปัจจุบันอยู่ที่ 380 ล้านบาท แบ่งเป็นงานจัดจำหน่าย 120ล้านบาท งานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิง 260 ล้านบาท อาทิโครงการ ปรับปรุงระบบดับเพลิงสถานีไฟฟ้าแรงสูงของ กฟผ. และมีโครงการที่อยู่ระหว่างรอผลพิจารณางานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิงเพิ่มเติมอีก 18 โครงการ มูลค่าประมาณ 370 ล้านบาท คาดว่าบริษัทจะได้รับงานอยู่ที่ประมาณ 250 ล้านบาท
นายทักษิณ กล่าวต่อไปว่า ในช่วงปี 2561-2563 บริษัทจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตของรายได้ไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 20% และเป็นผู้นำในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผลจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดอุปกรณ์ดับเพลิงและงานรับเหมาติดตั้งระบบฯ อีกทั้งบริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมากขึ้นจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งผลให้การบริหารจัดการด้านต่างๆ การขยายฐานลูกค้า การขยายพื้นที่ให้บริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คาดว่าในอนาคตบริษัทจะมีการขยายสาขาออกไปอย่างต่อเนื่องในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของภาคต่างๆ ตลอดจนขยายตลาดเข้าไปในประเทศกลุ่ม CLMV ร่วมกับพันธมิตรด้วยเช่นกัน