ดาว เคมิคอล หนุนเอสเอ็มอีสู้ศึกเออีซี

0
394
image_pdfimage_printPrint

ก้าวสู่ปีที่ 2 โครงการ “ดาว เคมิคอล เพื่ออุตสาหกรรมยั่งยืน” ของบริษัท ดาว เคมิคอล ประเทศไทย นับว่าเข้าสู่ขั้นประสบความสำเร็จตามแนวคิด “เอื้อเฟื้อแบ่งปัน” เนื่องจากวันนี้ภาพขององค์กรที่เข้าร่วมโครงการเมื่อปี 2555 ต่างขานรับถึงต้นทุนผลิตที่ลดลงควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม หรือที่เรียกว่า “อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry)

คุณจิรศักดิ์ สิงห์มณีชัย2

จากความสำเร็จสู่การต่อยอดโครงการระยะที่ 2 ซึ่งในปีนี้จะเน้นหนักไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เพราะนับว่าเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นในฐานะหัวเรือหลักในการขับเคลื่อนโครงนี้ “คุณจิรศักดิ์ สิงห์มณีชัย กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท ดาว เคมิคอล ประเทศไทย” กล่าวว่า โครงการดาว เคมิคอล เพื่ออุตสาหกรรมยั่งยืน ปีที่ 2 จะเป็นเครื่องมือเสริมสร้างการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ SME และหน่วยงานภาครัฐ โดยใช้หลักการและเทคโนโลยีลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาช่วยลดต้นทุนพลังงาน นวัตกรรม และการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ มีความพร้อมเป็นผู้นำตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)

ดาวเป็นผู้นำในธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ ซึ่งวันนี้ดาวยังคงทำหน้าที่เป็น “ตัวอย่างที่ดี (Role Model)” ให้กับเพื่อนร่วมอุตสาหกรรมในการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยโครงการดาว เคมิคอล เพื่ออุตสาหกรรมยั่งยืน เริ่มต้นด้วยการพัฒนาแนวคิดและจัดทำคู่มือการจัดการกระบวนการผลิตและสิ่งแวดล้อมด้วยหลักการลีน (Lean Management for Environment) ที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก โดยดำเนินการร่วมกับมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย  กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และหุ้นส่วนเชิงสร้างสรรค์ไทย-สหรัฐฯ ในการให้ความรู้สร้างความเข้าใจเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมและการป้องกันมลพิษที่ยั่งยืนให้แก่บุคลากรในภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐและเอกชน และสถาบันการศึกษา

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาดาว เคมิคอล ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดตามเป้าหมายพันธกิจเพื่อความยั่งยืนขององค์กร นอกจากนี้ ดาวยังต้องการขยายแนวคิดและองค์ความรู้ไปสู่เพื่อนร่วมอุตสาหกรรม และร่วมกันสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับภาคอุตสาหกรรมของไทย  เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนการพัฒนาและการเติบโตของอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืนไปพร้อมๆกัน”

 

 

 

และหนึ่งในปัจจัยสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนของอุตสาหกรรมไทย “คุณขจรพงศ์ ภู่สิทธิกุล  ผู้จัดการด้านอาวุโส การพัฒนาด้านการค้า กลุ่มบริษัท ดาว เคมิคอล ประเทศไทย” ได้กล่าวถึงความสำคัญของการเข้าใจรูปแบบการดำรงชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่พึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ต้องการความสะดวกสบาย ความรวดเร็วของการติดต่อสื่อสาร และประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งธุรกิจสำคัญที่เข้าถึงผู้บริโภคมากที่สุดได้แก่ ธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และธุรกิจค้าปลีก เป็นธุรกิจที่มีบทบาทต่อการนำผลิตภัณฑ์ สินค้า และบริการต่างๆ จากผู้ผลิตไปถึงตัวผู้บริโภค โดยมีภาคการขนส่งและบรรจุภัณฑ์เป็นตัวเชื่อมโยงในการนำสินค้าเหล่านั้นไปถึงมือผู้บริโภคอย่างรวดเร็วและคงคุณภาพสินค้าให้ยังใหม่ สด สะอาด ดังนั้นธุรกิจจำเป็นต้องปรับตนเองให้ตอบโจทย์เหล่านี้

นอกจากนี้ ในตลาดระดับสากลยังให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดย นายขจรพงศ์ ได้นำเสนอตัวอย่างการนำเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์มาใช้เพื่อพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เดิมให้สามารถตอบโจทย์ของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ได้

ดาว เคมิคอล ได้นำเสนอ “แพคเอ็กซเพิร์ท”(PackXpert) เป็นตัวอย่างการพัฒนาเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้าของตนเองให้ตอบโจทย์ตลาดในยุคปัจจุบัน โดย ดาว เคมิคอล ได้ทำงานร่วมกับลูกค้าของตนในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง มีความทนทาน ยืดหยุ่น ผสมผสานกับดีไซน์ใหม่ๆ ที่ดึงดูดผู้บริโภค และยังคงรักษาคุณภาพของสินค้าไว้ได้ อีกทั้งยังตอบโจทย์ด้านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เป็นบรรจุภัณฑ์สีเขียว ลดพื้นที่ในการจัดเก็บ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน

“ผมเชื่อว่าในยุคนี้ไม่มีใครเก่งทุกเรื่อง เราอาจจะไม่สามารถที่จะทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเราเองคนเดียวทั้งหมด ดังนั้น การหาพันธมิตรในธุรกิจที่จะเข้ามาช่วยเราพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป รวมทั้งตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนที่เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจ จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมไทยสามารถแข่งขันกับเวทีโลกได้” นายขจรพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย

ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจนั้น เมื่อก้าวสู่อุตสาหกรรมสีเขียวแล้ว ขั้นต่อไปของการก้าวเข้าสู่เออีซีจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำใน 10 ประเทศของอาเซียนได้ ซึ่ง “ดร.ศิริกุล เลากัยกุล Brand Strategist & Sustainability Advisor The BrandBeing Consultant Co., Ltd” ได้ถ่ายทอดความสำคัญของการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในเวทีโลก

 

 

ปัจจุบันโครงการดาว เคมิคอล เพื่ออุตสาหกรรมยั่งยืน นับว่าเป็นประโยชน์กับภาคธุรกิจอย่างมาก เพราะนอกจากจะถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเตรียมความพร้อม SME ก้าวเข้าสู่เออีซีแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดการสร้างแบรนด์ที่จะต้องถูกเลือก เพื่อเมื่อก้าวเข้าสู่เออีซี ตลาดใหญ่ขึ้นจะต้องมีทั้งผู้ที่ได้โอกาสและเสียโอกาส ดังนั้นหากต้องการเป็น Brand Owner จะต้องสร้างความเข้มแข็งธุรกิจ รวมทั้งต้องมีการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่กันด้วย

ในขณะที่ภาคเอกชนกำลังตื่นตัวกับการก้าวเข้าสู่เออีซี ฟากของกระทรวงพลังงาน ในฐานะแม่บ้านด้านการบริหารพลังงานในประเทศ ต่างขานรับโครงการดาว เคมิคอล เพื่ออุตสาหกรรมยั่งยืน ซึ่ง “ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.)” กล่าวถึงโครงการนี้ ว่า การที่ภาคอุตสาหกรรมมีความรับผิดชอบในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะลดต้นทุนการผลิตของธุรกิจแล้วยังช่วยลดภาระของประเทศด้วย เพราะการก้าวเข้าสู่ตลาดอาเซียนจะต้องมีต้นทุนผลิตที่ดีจึงจะสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้

ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพลังงานเดินหน้ามาตรการเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดจิตสำนึกด้านการใช้พลังงานมาอย่างต่อเนื่อง และเตรียมเดินหน้าโครงการนำร่องโดยร่วมกับกลุ่มโรงแรมและรีสอร์ท เพื่อเริ่มโครงการ Home Automation หรือการลดต้นทุนและการจัดการพลังงานด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Big data โดยขณะนี้กระทรวงพลังงานประสานไปยังโรงแรมและรีสอร์ทในเกาะสมุย เพื่อต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนักท่องเที่ยว เนื่องจากพบว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความต้องการใช้ไฟฟ้ามากกว่าคนปกติถึง 4 เท่า ดังนั้นกระทรวงพลังงานจึงสร้างเงื่อนไข โดยนำอัตราการใช้พลังงานในระดับต่ำเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อน อาทิ หากนักท่องเที่ยวใช้ไฟไม่เกินที่กำหนดก็จะได้รับส่วนลดค่าที่พัก เป็นต้น

หากต้องการมองภาพความสำเร็จของโครงการดาว เคมิคอล เพื่ออุตสาหกรรมยั่งยืน “ดร.เกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อำพลฟูดส์ จำกัด” หนึ่งในองค์กรที่ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการนี้ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวว่า ปัจจุบันยังมีผู้ประกอบการหลายรายเข้าใจผิดว่าการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมทำให้บริษัทต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งยอมรับว่าในช่วงแรกที่ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการนี้ก็มีความกังวลเช่นกัน แต่ในทางกลับกันพบว่าต้นทุนการผลิตของบริษัทต่ำลงเรื่อยๆ มีของเสียลดลง รวมทั้งสามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ด้วย

 

 

 

 

ปัจจุบันบริษัทอยู่ในฐานะธุรกิจ Zero waste หรือของเสียเหลือศูนย์ เพราะภายหลังจากที่ดาวเป็นที่ปรึกษาแล้ว ดาวได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับภาคธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด เริ่มต้นด้วยการลดต้นทุนการผลิต จนถึงด้านการเพิ่มมูลค่าสินค้า ซึ่งการเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ทำให้บริษัทเรียนรู้วิธีคิดว่าทำอย่างไรเพื่อให้สามารถแข่งขันกับเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม