THAIFA ประจำเดือนมิถุนายน 2557

0
245
image_pdfimage_printPrint

สมาคมตัวแทนฯ ทำผลงานชิ้นโบว์แดงใหม่! ผลักดัน “สรรพกร” แก้แนวทางปฏิบัติคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา “นักขาย” จาก มาตรา 40 (2) เป็น 40 (8) สำเร็จ! หักค่าใช้จ่าย “บริการ-บริหาร” งานขายประกันชีวิตได้ตามรูปแบบธุรกิจ “นายกฯศิริภรณ์” ย้ำเป็นการสนับสนุน “ตัวแทนเก่ง” ให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น

 

นางสาวศิริภรณ์ พุทธรักษ์ นายกสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน (THAIFA) เปิดเผยว่าเมื่อเร็วๆ นี้ กรมสรรพากรได้มีหนังสือแจ้งถึงนายกสมาคมตัวแทนฯ ถึงการพิจารณาค่าตอบแทนที่ตัวแทนประกันชีวิต ได้รับจากบริษัทประกันชีวิตในรูปแบบของ “การทำธุรกิจ” เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40(8)แห่งประมวลรัษฎากร ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามความจำเป็นและสมควร โดยให้นำมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรีแห่งประมวลรัษฎากร มาใช้บังคับโดยอนุโลม

“หนังสือดังกล่าวมีการลงนามไว้ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2557 แต่ทางสมาคมเพิ่งได้รับเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยข้อกำหนดที่กรมสรรพากรจัดเป็นรูปแบบการทำธุรกิจของตัวแทนนั้น ตัวแทนผู้นั้นจะต้องเข้า 3 องค์ประกอบก่อนถึงจะสามารถคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตาม มาตรา 40(8) และหากไม่เข้าองค์ประกอบก็ถือเป็นบุคคลธรรมดาที่ต้องคำนวณภาษีเหมือนผู้มีรายได้ทั่วไปคือ 40(2) เช่นในอดีตที่ผ่านมา” นางสาวศิริภรณ์กล่าว และว่า

สำหรับองค์ประกอบที่กรมสรรพากรระบุไว้ คือ 1. จัดตั้งสำนักงานมีอาคารเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหรือเช่าจากบุคคลอื่นโดยมีหลักฐาน มีการลงทุน โดยจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ มีค่าใช้จ่ายสำนักงาน มีการจ้างลูกจ้างหรือพนักงาน โดยมีหลักฐานตามสัญญาจ้างแรงงาน มีการจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมตามกฎหมาย และมีหลักฐานการแสดงการหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่ง (แบบ ภ.ง.ด.1 หรือ ภ.ง.ด.1 ก)

2.ได้มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และ 3.มีค่าใช้จ่ายในการประกอบกิจการจริง เช่น ค่ารับรอง ค่าบริการต่างๆที่ติดต่อกับลูกค้า และมีหนังสือรับรองจากบริษัทประกันชีวิตต้นสังกัดว่าไม่มีการจ่ายเงินชดเชยหรือออกค่าใช้จ่ายแทนให้

ทั้งนี้ในหนังสือดังกล่าวยังระบุถึงการทำหน้าที่ของบริษัทประกันชีวิตต้นสังกัดของตัวแทนกลุ่มดังกล่าวอีกว่า ตามมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 นั้น บริษัทประกันชีวิตผู้จ่ายเงินค่าตอบแทนดังกล่าว ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 ตามข้อ 12/1(1) ของคำสั่งที่ ท.ป.4/2528ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน 2528 ด้วย

นายกสมาคมตัวแทนฯ กล่าวว่า หนังสือแจ้งจากกรมสรรพากรดังกล่าว นับเป็นการยืนยันตามหนังสือขอความเป็นธรรมจากสมาคมฯ ที่ส่งถึงกรมสรรพากรก่อนหน้านี้ เลขที่ สตท.007/2556 ลงวันที่ 24 มกราคม 2556 ซึ่งสมาคมฯ ได้แจ้งเหตุผลไปในหนังสือดังกล่าวว่า สมาคมฯ ได้เรียนเชิญวิทยากรจากกรมสรรพากร เพื่อมาให้ความรู้เกี่ยวกับการเสียภาษีอากรของกิจการตัวแทนประกันชีวิต เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2555 ซึ่งในวันดังกล่าว ได้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทประกันชีวิตต่างๆ มารับฟังจำนวนมาก และเห็นว่า แนวปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.115/2545 เรื่องการเสียภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับกิจการตัวแทนประกันชีวิตและนายหน้าประกันชีวิต ลงวันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2545 ยังมีประเด็นในการทางปฏิบัติที่ไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน

สมาคมฯ จึงขอให้กรมสรรพากรยืนยันว่า หากตัวแทนประกันชีวิตได้แสดงให้เห็นว่า ได้ปฏิบัติตามข้อ 2.1(2) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.115/2545ฯ ลงวันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2545 ครบถ้วนแล้วก็ให้พิจารณาทบทวนแนวทางการคำนวณจ่ายภาษีเงินได้ของตัวแทนที่ประกอบกิจการในรูปแบบธุรกิจให้สอดคล้องและเป็นแนวทางเดียวกันด้วย

“นับเป็นความสำเร็จอีกครั้งหนึ่งในการทำงานของสมาคมฯ ที่ได้ผลักดันให้เกิดการปรับเปลี่ยนวิธีปฏิบัติใหม่สำหรับการจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของตัวแทนทั้งระบบที่มีรายได้สูงขึ้นจากเดิมเป็น 40(2) มาเป็นแบบ 40(8) ที่สามารถหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการบริการลูกค้าและทำงานในอาชีพนี้ได้มั่นคงขึ้น ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนให้ตัวแทนเก่งๆ ทำงานก้าวหน้ามากขึ้นบนภาวการณ์แข่งขันที่เป็นธรรมมากขึ้นด้วยค่ะ” นางสาวศิริภรณ์กล่าวทิ้งท้าย