L&E โชว์ผลงานปี 56 สุดยอด กำไรสุทธิอยู่ที่ 143.4 ลบ. โตพุ่งเกือบ 60% ส่วนรายได้อยู่ที่ 2,458 ลบ.
โตราว 9% จากการรับงานโครงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากงานภาคเอกชนและรัฐบาล แถมรุกตลาดค้าส่ง – ค้าปลีกที่เติบโตดี โดยเฉพาะสินค้า LED ของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับเพิ่มขึ้น รวมทั้งเป็นสินค้ามาร์จิ้นสูง หนุนกำไร
สุทธิบริษัทฯ ปรับทำสถิติใหม่เกิน 100 ลบ. เป็นปีแรก แถมบอร์ดบริษัทฯ ไฟเขียว แตกพาร์หุ้น L&E จาก 5 บาท เป็น 1 บาท นอกจากนี้ควักจ่ายปันผลเป็นหุ้นและเงินสดรวมหุ้นละ 0.34 บาท (คิดจากพาร์ 1 บาท) และอัตราหุ้นละ 1.70 บาท (คิดจากพาร์ 5 บาท) ทั้งยังออก วอแรนท์ เสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมจำนวนไม่เกิน 99,587,535 หน่วย อัตราใช้สิทธิ 3 หุ้นเดิม ได้รับสิทธิ 1 หน่วย กำหนดวันจ่ายปันผลวันที่ 22 พ.ค. ปิดสมุดทะเบียนรับสิทธิ 7 พ.ค. นี้ พร้อมมีมติย้ายจาก mai ไปSET
นายปกรณ์ บริมาสพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้นำในธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้าและอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานประจำงวดปี 2556 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2556) ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 143.4 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 89.4 ล้านบาท คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้นราว 54 ล้านบาท หรือร้อยละ 60 ส่วนรายได้จากการขายและให้บริการอยู่ที่ 2,458 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 2,260 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 198 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นราว 9% เป็นผลจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้าง การปรับปรุงศูนย์การค้า, ซุปเปอร์สโตร์ และร้านค้าย่อย รวมถึงการก่อสร้างอาคารสำนักงานและโรงงานอุตสาหกรรมได้ปรับตัวเพิ่มมากขึ้น ส่วนการค้าส่งและค้าปลีกก็ได้ปรับตัวดีขึ้น แม้การส่งออกจะอ่อนตัวลงก็ตาม
“ภาพรวมธุรกิจปี 56 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายและเติบโตอย่างมาก ในส่วนของกำไรสุทธิโตประมาณ 60% ส่วนยอดขายเพิ่มขึ้นราว 9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา และถือว่าเป็นปีแรกที่มีกำไรสุทธิพุ่งเกิน 100 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากบริษัทฯ ได้รับงานและมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะงานโครงการสินค้าประเภท LED ซึ่งเป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ที่มีมาร์จิ้นสูง เป็นทิศทางที่ดีของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำธุรกิจอุปกรณ์ไฟฟ้าและแสงสว่าง อีกทั้ง โรงงานบริษัทฯ เป็นโรงงาน LED แห่งแรกของประเทศ และพยายามบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการควบคุมค่าใช้จ่าย โดยบริษัทฯ ได้มีการตั้งสำรองหนี้สูญอย่างเต็มที่ไว้แล้วในปี 2556 ที่ผ่านมา ตามเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น มองว่าจะส่งผลดีต่อศักยภาพทางการเงินของบริษัทฯ
ในระยะยาว” นายปกรณ์ กล่าว
อนึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติที่ประชุมที่สำคัญ ประกอบด้วยมีมติย้ายการจดทะเบียนจากตลาดหลักทรัพย์ mai ไปสู่ SET และอนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จากมูลค่าหุ้นละ 5 บาท เป็น 1 บาท โดยทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 299,688,635 บาท เป็น 493,985,884 บาท และแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้จากผลประกอบการบริษัทฯ ตามที่มีรายได้และผลกำไรดีที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จ่ายหุ้นปันผลสำหรับงวดดำเนินงานปี 2556 โดยปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 3.5 หุ้นสามัญต่อ 1 หุ้นใหม่ เป็นจำนวนเงิน 85,360,744 บาท คิดเป็นอัตราหุ้นละ 0.29 บาท (คิดจากพาร์ 1 บาท) และคิดเป็นอัตราหุ้นละ 1.45 บาท (คิดจากพาร์ 5 บาท) พร้อมกันนี้มีมติจ่ายปันผลเป็นเงินสดเพิ่มเติมอีก 14,938,130 บาท คิดเป็นอัตราหุ้นละ 0.05 บาท (คิดจากพาร์ 1 บาท) และคิดเป็นอัตราหุ้นละ 0.25 บาท (คิดจากพาร์ 5 บาท) รวมเป็นการจ่ายปันผลคิดเป็นจำนวนเงิน 100,298,874 บาท อัตราหุ้นละ 0.34 บาท (คิดจากพาร์ 1 บาท) และ คิดเป็นอัตราหุ้นละ 1.70 บาท (คิดจากพาร์ 5 บาท) โดยการจ่ายปันผลในครั้งนี้ พิจารณาจากกำไรสะสมของงบรวมของบริษัท 69%
พร้อมกันนี้บริษัทฯ ได้พิจารณาและอนุมัติการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) เสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมจำนวนไม่เกิน 99,587,535 หน่วย โดยให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 3 หุ้นสามัญ 3 หุ้น รับสิทธิ 1 หน่วย ราคาใช้สิทธิหน่วยละ 2.10 บาท โดยเริ่มใช้สิทธิครั้งแรกวันที่ 15 ธันวาคม 2557 และครั้งสุดท้ายวันที่ 14 มิถุนายน 2560 นอกจากนี้ได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ให้แก่คณะกรรมการ ผู้บริหารและพนักงาน (ESOP) จำนวน 10,450,000 หน่วย โดยราคาใช้สิทธิและระยะเวลาการใช้สิทธิเหมือนกับผู้ถือหุ้น ทั้งนี้บริษัทฯ กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 เพื่อปิดสมุดทะเบียนเพื่อรวบรวมรายชื่อ
ผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
