ร.พ.สัตว์ตลิ่งชัน จัดสัมมนา เลี้ยงบูลด๊อก-บีเกิ้ล ให้สุขภาพดีไม่มีโรค ดูแลเจ้าตูบให้ห่างไกลขี้เรื้อน

0
361
image_pdfimage_printPrint

เมื่อเจ้าตูบที่แสนรักเกิดอาการขนร่วง คัน ผิวหนังอักเสบแดง หรือบางตัวอาจมีกลิ่นเหม็นและมีสะเก็ดตามตัว เจ้าของมักคิดเหมารวมไปว่านั่นคือ “โรคเรื้อน” แต่ความจริงแล้ว เจ้าตูบอาจเป็นแค่โรคผิวหนังชนิดอื่น แต่ด้วยเพราะอาการและลักษณะของโรคมีความคล้ายกัน ทำให้เข้าใจผิดไปเอง ไม่ว่าอย่างไร เจ้าของก็อย่าเพิ่งกังวลหรือตื่นตกใจกลัว เพราะหากได้รู้ถึง สาเหตุ อาการ และการป้องกันโรคเรื้อนแล้ว ก็อาจช่วยน้องหมาให้มีสุขภาพผิวหนังที่ดีขึ้น และห่างไกลจากโรคนี้ได้แน่นอน

ภาพหมู่ 2

โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์บลูด๊อกและบีเกิ้ล ที่มีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคผิวหนังชนิดนี้ค่อนข้างสูง ทางโรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน จึงร่วมมือกับ ชมรมบลูด็อกแห่งประเทศไทย และ บี้เกิ้ลแก๊งค์  จัดเวิร์คช็อปหัวข้อ “การเลี้ยงสุนัข บลูด๊อกและบีเกิ้ล ให้ห่างไกลจากโรคผิวหนัง” เพื่อให้กับเจ้าของสุนัขที่สนใจได้นำความรู้ไปปรับใช้อย่างถูกวิธี จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ ห้องประชุมโรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน บรรยายโดย สัตวแพทย์เชาวลิต สุทธะลักษณ์  ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังจากโรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน ซึ่งปรากฏว่าได้รับผลการตอบรับอย่างสูง มีเจ้าของสุนัขบีกิ้ลและบูลด๊อกเข้าร่วมฟังจำนวนมาก จนทำให้ห้องประชุมในวันนั้นแคบไปถนัดตา

นอกจากนี้ ภายในงานสัมมา มีกิจกรรมอีกมากมาย อาทิ บริการตรวจสุขภาพโดยการตรวจนับเม็ดเลือดให้น้องหมา เพื่อเช็คสุขภาพโดยสัตวแพทย์ด้านต่าง ๆ  ซึ่งเจ้าของสุนัขต่างให้ความสนใจอย่างมาก ต่างพาสุนัขเข้ารับบริการอย่างไม่ขาดสาย และบรรยากาศสนุก ๆ จากออกร้านน่ารัก ๆ ของพันธมิตรมากมาย อาทิ บ. ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน, บ.เอมส์ เอ็นเตอร์ไพร์ส์ จำกัด, บ.เอ แซด อินฟินิตี้ จำกัด, บ.เวท เรคคอมเมนต์ จำกัด ฯลฯ ที่พร้อมใจกันนำผลิตภัณฑ์มาเป็นของรางวัลและสร้างกิจกรรมสนุก ๆ ให้กับสุนัขและเจ้าของอย่างครื้นเครง นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้รับของที่ระลึก อาทิ หนังสือสีสันสัตว์เลี้ยง และขนมสุนัขจากเจอร์ไฮติดไม้ติดมือกลับบ้านอีกด้วย นอกเหนือจากความรู้ที่ได้รับอย่างเต็มอิ่ม

สัตวแพทย์เชาวลิต สุทธะลักษณ์  กล่าวถึงโรคนี้ให้ฟังว่าโรคเรื้อนเกิดได้กับน้องหมาพันธุ์บลูด๊อกและบีเกิ้ล และทุกสายพันธุ์ แม้ว่าอาการที่แสดงออกและลักษณะของโรคจะเหมือนกัน แต่สาเหตุของโรคจะแตกต่างกัน โรคขี้เรื้อนที่พบบ่อยๆ มี 2 ชนิด คือ “ขี้เรื้อนแห้ง” และ “ขี้เรื้อนเปียก” สาเหตุเกิดจากตัวไร ซึ่งเป็นปรสิตภายนอกประเภทหนึ่งเช่นเดียวกับ เห็บ หมัด

โรคไรขี้เรื้อนแห้ง เกิดจากไรซาร์คอพติค (sarcoptes) ที่อาศัยอยู่บริเวณใต้ผิวหนังชั้น Stratum corneum ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสมมันมีชีวิตอยู่ได้นาน วงจรชีวิตอาจอยู่ได้นานถึง 2-3 สัปดาห์  ติดต่อได้โดยการสัมผัสกับสุนัขที่เป็นโรค หรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ ส่วนบริเวณที่สังเกตเห็นรอยโรคได้บ่อยๆ คือ ปลายใบหู บริเวณใต้ท้อง ข้อศอก และข้อเท้าด้านนอก  โดยจะมีอาการขนร่วง หรือมีตุ่มแดงตามผิวหนัง สุนัขจะคันมาก เนื่องจากตัวไรทำให้ผิวหนังระคายเคือง รวมทั้งปล่อยสารพิษทำให้ผิวหนังมีอาการแพ้ ซึ่งรอยโรคจะกระจายตัวเร็วมาก”

สำหรับอาการที่พบจะมี 2 ลักษณะคือ 1.เป็นเฉพาะแห่ง เช่น ขนร่วงตามใบหน้า หน้า หัว แก้ม ริมฝีปาก รอบตา  2.ขนร่วงกระจายทั่วตัว โดยผิวหนังอาจจะเปลี่ยนสีและอาจจะหนาตัวขึ้น อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนทำให้ผิวหนังอักเสบ คัน โดยการรักษาสองแบบนี้ จะต่างกันทั้งวิธีการรักษา และความถี่ในการใช้ยา หากใช้ยาผสมน้ำอาบ หรือยากิน หรือ ยาที่เป็นแบบฉีด ควรอยู่ในการดูแลของสัตวแพทย์เพราะถ้าใช้ผิดวิธีหรือใช้ยาเกินขนาดอาจก่อให้เกิดอันตรายได้

น้องหมาในรายที่เป็นแบบเฉพาะแห่ง 90% จะสามารถหายได้เอง แต่อีก 10% จะพัฒนาจนกลายเป็นแบบกระจายทั่วตัว อาจรักษาโดยใช้แค่แชมพูที่ช่วยรักษาขี้เรื้อนขัดบริเวณที่เป็น แต่ถ้ามีอาการคันอาจจะให้ยากลุ่มแก้แพ้เพื่อช่วยบรรเทา  ส่วนในรายที่เป็นแบบกระจายทั่วตัว การรักษาอาจจะต้องใช้ยาฆ่าตัวไรขี้เรื้อนซึ่งมีทั้งแบบกิน แบบหยอดหลัง ร่วมกับการใช้แชมพูที่ช่วยรักษาขี้เรื้อน ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วยอาจจะต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยคุมการติดเชื้อแบคทีเรีย ถ้ามีอาการคันอาจจะให้ยากลุ่มแก้แพ้เพื่อช่วยบรรเทาอาการ

นอกจากนี้  คุณหมอยังให้คำแนะนำกับท่านเจ้าของสุนัขด้วยว่า น้องหมาที่เป็นโรคขี้เรื้อนเปียก ควร ดูแลสุนัขให้มีสุขภาพดีแข็งแรง โดยให้อาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ถ่ายพยาธิในทางเดินอาหาร และไม่พยายามทำให้เขาเกิดความเครียด โดยเฉพาะการรักษาโรคขี้เรื้อนเปียกจะใช้เวลาค่อนข้างนาน และค่าใช้จ่ายสูง ที่สำคัญเป็นโรคที่ “รักษาไม่หายขาด” ถ้าสุนัขเครียดหรืออ่อนแอภูมิคุ้มกันลดลง เชื้อไรขี้เรื้อนที่ไม่แสดงอาการอาจจะเพิ่มจำนวนและทำให้เกิดโรคได้  ส่วนโรคขี้เรื้อนแห้งนั้น ต้องระวังไม่ให้สุนัขอยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ที่เป็นโรคขี้เรื้อนแห้ง แยกอุปกรณ์การแต่งตัวของใครของมัน หรือถ้าจำเป็นต้องใช้ร่วมกันควรทำความสะอาดก่อนที่จะนำมาใช้

ด้าน นก-สุรีรัตน์ รัมกิตติคุณ เจ้าของสุนัขบีเกิ้ล “น้องนามิ” สมาชิกบี้เกิ้ลแก๊งค์ ที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ กล่าวว่า เพิ่งมาเป็นครั้งแรก รู้สึกสนุกมาก เพราะเหมือนกับได้มา Metting กันทั้งสุนัขบีเกิ้ล-บลูด๊อกและเจ้าของ และนามิยังมีโอกาสได้ตรวจสุภาพและร่วมกิจกรรมสนุกด้วย สำหรับวิทยากรบรรยายและเข้าใจง่าย และเป็นกันเอง คิดว่าถ้าจัดอบรมอีก จะมาแน่นอน สิ่งที่ได้เรียนรู้เพิ่มเติมกลับไปคือวิธีการสังเกตอาการของโรคนี้ และวิธีการดูแลเพื่อป้องกัน หากเจ้าของพบอาการขนร่วงผิดปกติ ผิวหนังลอกเป็นสะเก็ด ให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์ เพื่อจะได้หาแนวทางรักษาแต่เนิ่นๆ เพราะเป็นโรคที่น่ากลัวมาก

ขณะที่ เมย์ – รังสิยา พลทรัพย์ เจ้าของสุนัขบีเกิ้ล “น้องใบเตย” กล่าวว่า โรคขี้เรื้อนส่วนใหญ่ทราบว่ามักเกิดกับสุนัขพันธุ์บีเกิ้ล น้องหมาที่บ้านบางตัวก็เคยเป็นโรคผิวหนังบ้างเหมือนกัน แต่ยังไม่ถึงกับเป็นโรคเรื้อน และได้พาไปพบหมอเพื่อรักษาตามอาการ  การเข้ามาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ทำให้ได้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้มากขึ้นและข้อควรระวังต่างๆ เพื่อนำไปปรับใช้กับน้องหมาของเรามากขึ้น น่าสนใจและมีประโยชน์กับเจ้าของสุนัขมาก อยากให้จัดการอบรมเกี่ยวกับความรู้อีกในหัวข้ออื่น ๆ อีก พร้อมจัดกิจกรรมสนุก ๆ แบบนี้ด้วยทุกครั้ง