ศัลยแพทย์โรงพยาบาลดังออกคำเตือน หลังพบสถิติวัยรุ่นไทยแห่ “เสริมอึ๋ม” ติดอันดับโลก สาเหตุเพราะอยากเพิ่มความมั่นใจ
จากผลการสำรวจเก็บสถิติศัลยกรรมทั่วโลกของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยนานาชาติ หรือ ISAPS (International Society of Aesthetic Plastic Surgery) เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา พบว่า วัยรุ่นทั่วโลกในช่วงอายุ 18 ปี หรือต่ำกว่า 18 ปี นิยมเสริมจมูกเป็นอันดับ 1 โดยมีจำนวนผู้เข้ารับการเสริมจมูกทั้งสิ้น 55,889 ราย รองลงมาคือ การศัลยกรรมเสริมหน้าอก และดูดไขมัน
และเมื่อเจาะลงไปในกลุ่มการศัลยกรรมเสริมหน้าอก ในช่วงอายุต่ำกว่า 17 ปีทั่วโลก พบว่า วัยรุ่นไทยให้ความสนใจต่อการศัลยกรรมเสริมหน้าอกถึง 5.7% เท่ากับประเทศอิตาลี ซึ่งอยู่ในอันดับ 8 ของโลกโดยสาเหตุหลักคือ ต้องการเสริมสร้างความมั่นใจให้กับร่างกาย
นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง และผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรม รพ.บางมด ได้กล่าวถึงอายุที่มีความเหมาะสมในการทำศัลยกรรมว่า
“ปกติสรีระร่างกายของผู้หญิง จะหยุดการเจริญเติบโตในช่วงอายุ 20 ปีเป็นต้นไป โดยเฉพาะในส่วนของฮอร์โมนเพศหญิง, การเจริญเติบโตของตัวเต้านม จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยิ่งในช่วงของการตั้งครรภ์ หรือหลังคลอดบุตร ฮอร์โมนในร่างกายจะมีสภาวะขึ้นๆ ลงๆ เช่นเดียวกับประจำเดือน ก็มีผลต่อฮอร์โมน และการขยายตัวหรือหดตัวของเนื้อเต้านม
ดังนั้น อายุที่มีความเหมาะสมในการศัลยกรรมเสริมหน้าอก คือ อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป เนื่องจากโครงสร้างร่างกาย รวมถึง กระดูกมีความพร้อมแล้ว นอกจากนี้ ควรทำเมื่อขนาดหน้าอกมีความคงที่ ซึ่งหากยังมีการรับฮอร์โมน หรือทานยาคุมกำเนิดอยู่ ก็ยังไม่ควรทำศัลยกรรม ส่วนกลุ่มสาวประเภทสอง ก็สามารถทำได้ แต่ด้วยโครงสร้างของผู้ชายจะมีขนาดใหญ่ และเนื้อหน้าอกไม่มี เมื่อเทียบกับผู้หญิงเทคนิคการผ่าตัดแตกต่าง แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนทำการผ่าตัดแพทย์จะตรวจวิเคราะห์ร่างกาย เพื่อประเมินก่อน กล่าวโดยสรุปคือ ผู้ที่เหมาะสมจะทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก คือ อายุที่ร่างกายพร้อม และช่วงของหน้าอกมีความคงที่”
นอกจากนี้ นพ.ธนัญชัย ยังได้แนะนำเพิ่มเติมอีกด้วยว่า “การศัลยกรรมที่ดีต้องทำให้พอดี อย่าทำสิ่งใดที่เป็นการฝืนธรรมชาติมากเกินไป ยิ่งทำให้พอดี ยิ่งปลอดภัย ซึ่งความต้องการเสริมหน้าอกขนาดใหญ่เกินไป หรือเกินโครงสร้าง อาจมีปัญหาแทรกซ้อน เช่น หน้าอกหย่อนคล้อย, หน้าอกแข็ง และต้องมาแก้ภายหลัง เพราะฉะนั้น ก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรม ควรเข้ามาพบแพทย์ เพื่อตรวจวิเคราะห์กับแพทย์ก่อนว่า ควรทำอย่างไรถึงจะพอดี ประการที่สองต้องทำให้น้อยที่สุด ยิ่งทำน้อย และตรงเฉพาะจุดที่มีปัญหาได้ยิ่งปลอดภัย
สุดท้ายคือ ต้องรู้จักเลือก เราต้องศึกษาหาข้อมูล ต้องเลือกแพทย์ สถานพยาบาล และวัสดุอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานตามหลักวิชาการแพทย์ที่มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยที่สุด”