หลายๆท่านคงเคยได้ยิน รู้จัก หรือ ได้ติดตามผลงานเจ้าของนามปากกา ดังตฤณ-ศรัณย์ ไมตรีเวช นักเขียนฆราวาสที่ปลุกกระแสธรรมมะ ให้เป็นที่สนใจในวงกว้าง ผ่านหนังสือ บทความ สื่อออนไลน์ โดยเฉพาะ หนังสือ เสียดาย…คนตายไม่ได้อ่าน, กรรมพยากรณ์, จิตจักพรรดิ์, เฟสบุ๊คเพจ Dungtrin และผลงานอื่นๆมากันพอสมควร จากผลงานของคุณดังตฤณที่เผยแพร่ออกมา ทำให้ผู้เขียนและอีกหลายๆท่านได้ตื่นรู้ผ่านธรรมมะที่ตรงใจลึกซึ้งแต่เรียบง่ายมีอรรถรสและสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน และเลยเป็นเหตุให้ผู้เขียนแอบนึกสงสัยถึงชีวิตส่วนตัวของคุณดังตฤณว่าคุณดังตฤณมีการดำเนินชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร และยิ่งพอทราบว่า คุณดังตฤณ ได้สมรสและมีบุตรแล้ว ยิ่งทำให้ผู้เขียนยิ่งอยากรู้ไปอีกตามประสาปุถุชนคนธรรมดาว่าคู่บารมีหรือคู่ชีวิตของคุณดังตฤณจะเป็นคนเช่นไร? และนี่จึงเป็นที่มาของบทความนี้ ที่ผู้เขียนพยายามไปเสาะหา และขอสัมภาษณ์ คุณหมอกุ๊กไก่ – แพทย์หญิง ณัฐชญา ไมตรีเวช ที่ผู้เขียนมั่นใจว่า เมื่อคุณอ่านบทความนี้จบแล้ว คุณจะไม่สงสัยอีกต่อไป ว่าทำไมเธอถึงเป็นคู่บุญคู่ชีวิตในชีวิตคุณดังตฤณได้
• รบกวน คุณหมอแนะนำตัวหน่อยค่ะ และไม่ทราบว่าคุณหมอเป็นคุณหมอด้านไหนคะ? ขออนุญาตถามนะคะ เพราะคือคุณหมอดูหน้าเด็กและอารมณ์ดีมากค่ะ ปกติเห็นคุณหมอส่วนใหญ่จะดูคร่ำเคร่งนิดนึงน่ะค่ะ
• (หัวเราะ) ขอบคุณมากค่ะ แหม แอบเขินเลย… สวัสดีค่ะ แพทย์หญิง ณัฐชญา ไมตรีเวช หรือเรียกง่าย ๆ ว่ากุ๊กไก่ก็ได้ค่ะ ตอนนี้ก็อายุ 40 ปีแล้ว (ไม่เด็กเนอะ ขอบคุณมากที่ชมนะคะ) หมอจบแพทย์ศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยขอนแก่นค่ะ แล้วมาต่อเฉพาะทางด้านกุมารแพทย์ 1 ใบ และด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉินอีก 1 ใบ ที่โรงพยาบาลชลบุรีค่ะ หลังจากนั้นก็มีอบรมระยะสั้นด้านผิวหนัง ของโรงพยาบาลโรงผิวหนัง อบรมด้าน เวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เรียนเกี่ยวกับสารอาหาร อาหารเสริม เรียนการผสมครีมบำรุงต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ไปจนถึงการฝังเข็ม แพทย์แผนจีน และตอนนี้กำลังศึกษาแพทย์และเภสัชแผนไทยอยู่ด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นตอนนี้หมอก็ไม่แน่ใจว่าจะนิยามตัวเองว่าเป็นคุณหมอด้านไหนดีค่ะ (หัวเราะ) เอาเป็นว่า เป็นคุณหมอแบบองค์รวมผสมผสานดีมั้ยคะ?(หัวเราะ)
• โห… จบมาเยอะขนาดนี้ ไม่ทราบว่า ตอนนี้คุณหมอกุ๊กไก่ทำงานที่ไหนคะ?
• ตอนจบใหม่ๆ หมอทำงานใช้ทุนและเรียนไปด้วยพร้อมกัน ที่โรงพยาบาลชลบุรีค่ะ หลังจากจบก็เป็นอาจารย์พิเศษของคณะแพทย์จุฬา ที่โรงพยาบาลชลบุรี รวมๆ ก็เกือบสิบปี หลังจากนั้นพอแต่งงาน ก็มีเหตุให้ต้องเปิดคลินิกของตัวเอง ตอนแรกจะทำเกี่ยวกับเวชศาสตร์ชะลอวัย แต่ว่าอยู่ค่อนข้างยาก เลยต้องเสริมเรื่องศัลยกรรมความงามและเลเซอร์เข้ามาด้วย ตอนนี้ก็ทำมาได้ประมาณ 8-9 ปีแล้วค่ะ ตอนนี้มีห้องวิจัยและโรงงานทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายด้วยค่ะ
• ขอโอ้โหอีกรอบนะคะ จากหมอเด็ก กับเวชศาสตร์ฉุกเฉินมาเป็นคลีนิคความงาม และห้องวิจัยบวกโรงงาน นี่มันคนละเรื่องเดียวกันมั้ยคะคุณหมอ??
• เอ่อออ จริงๆแล้วหมอ เป็นคนชอบเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้วส่วนหนึ่งนะคะ คือชอบเนรมิตให้คนอื่นสวย ประมาณว่าชั้นเป็นนางฟ้า ที่เสกให้นางซินก้นครัว กลายเป็นเจ้าหญิงซินเดอเรลล่าได้ (หัวเราะ) เอาใหม่ค่ะ คือ สาเหตุหลักๆตอนแรกที่เปิดคลินิกจริงๆแล้ว คือ พี่ตุลย์ค่ะ ตอนนั้น พบว่าพี่ตุลย์ (คุณดังตฤณ) เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และตัดสินใจไม่ใส่stent ไม่ทำบอลลูน สาเหตุเพราะไม่ต้องการกินยาไปตลอดชีวิต เพราะลองกินแล้วมีผลข้างเคียงจากยาค่อนข้างเยอะ จากเดิมที่เคยปิดใจ ไม่ค่อยเชื่อเรื่อง เวชศาสตร์ชลอวัย วิตามิน อาหารเสริมหรือแม้แต่แพทย์แผนโบราณ แพทย์ทางเลือกต่างๆ หมอก็เริ่มเปิดใจ ค้นคว้า และศึกษาอย่างจริงจัง เพราะเรามีชีวิตพี่ตุลย์เป็นเดิมพัน จนในที่สุดก็มั่นใจและตัดสินใจเปิดคลินิกที่ตั้งธงเป็นเวชศาสตร์ชะลอวัยโดยตรง แต่แอบมีเกี่ยวกับเรื่องความงามที่เราชอบ(คืออยากเป็นนางฟ้า…หัวเราะ)เป็นส่วนหนึ่งด้วยค่ะ คือตอนแรกก็ไม่เชิงว่าจะเปิดเป็นคลีนิคด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากหมอเป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบ จริงจัง จะทำอะไร ก็พยายามจะทำให้ดีที่สุด ดังนั้นอะไรที่เราจะทำหรือเอามาใช้ มันต้องดีจริง ๆ เห็นผลจริงๆ และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปด้วย ไหนๆ ลงทุนศึกษาเต็มที่ จะทำให้พี่ตุลย์คนเดียวก็ไม่น่าจะดี เพราะความรู้และอุปกรณ์ที่ลงไปสามารถมาแบ่งปันให้คนที่สนใจการรักษาแบบองค์รวมได้ด้วย ก็เลยเปิดเป็นคลินิคและยึดหลักการแบบนี้มาตลอด มันก็เติบโตมาเรื่อย ๆ แบบปากต่อปาก และเพราะชอบศึกษา และ ชอบเทคโนโลยีและอุปกรณ์ดีๆ ใหม่ เลยต้องขยายไปเรื่อยจนอลังการขนาดนี้ (หัวเราะ)และอีกอย่างคือหมอโชคดีมากๆด้วย ที่ได้คุณหมอเก่งๆ ทั้งคุณหมอศัลยกรรม คุณหมอตา คุณหมอดมยา นักกายภาพบำบัด พยาบาล ทีมงานคุณภาพ ที่มีเจตนารมณ์เดียวกันหลายๆ ท่านมาร่วมงานค่ะ ส่วนห้องวิจัยและโรงงานผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพก็มาจากเหตุผลประมาณเดียวกันค่ะ คือ จะทำอะไร ต้องดี ปลอดภัย และ มั่นใจจริงๆ ไปๆมาๆเลยมีโรงงานเล็กๆของตัวเองงอกออกมาด้วยเลยค่ะ
• เอ่อออ… เห็นพูดถึงคุณดังตฤณแล้ว ขออนุญาตถามคุณหมอตรงๆว่า แล้วมาพบรักกันได้อย่างไรคะ?
• คือ มันเริ่มจากตอนหมอยังใช้ทุนและเรียนต่อเฉพาะทาง ที่โรงพยาบาลชลบุรีค่ะ คือ ปกติคุณพ่อคุณแม่หรือครอบครัวของหมอเองก็ปลูกฝังเรื่องพุทธศาสนา เข้าวัดทำบุญทำทานอยู่แล้ว ประกอบกับการที่เราเป็นหมอ ทั้งหมอเด็ก และ เวชศาสตร์ฉุกเฉิน เราก็เห็นการเกิดแก่เจ็บตายจนเราก็เกิดความเข้าใจแต่ไม่ได้แปลว่าจะทำใจได้นะคะ ตอนหมอไปวัดทำบุญก็ได้พบกัลยาณมิตรท่านนึง คือพี่ป้อม ซึ่งเป็นพี่สาวของพี่ตุลย์ โดยตอนแรกๆหมอก็ไม่ทราบหรอกนะคะ หลังๆก็มีโอกาสได้พบกับพี่ตุลย์บ้าง ซึ่งเราก็รู้จักชื่นชมพี่เค้าในฐานะคนติดตามผลงานพี่เค้าอยู่แล้ว (นักเขียนในดวงใจ) ประกอบกับช่วงนั้น มีรุ่นพี่หมอท่านนึงก็มาชวนให้ทำหนังสือ ณ มรณา ที่รวบรวมเรื่องเกี่ยวกับความตายและการเตรียมตัวตาย โดยรวบรวมจากบทความของคุณดังตฤณในหมวดหมู่นี้ ซึ่งหมอเองก็รับหน้าที่ช่วยรวบรวมและประสานงาน เลยได้ติดต่อกับพี่ตุลย์บ่อยขึ้น โดยหนังสือเล่มนี้ก็ถูกตีพิมพ์และกระจายไปตามโรงพยาบาล และสถานศึกษา ทั่วประเทศค่ะ ก็ค่อยๆรู้จักพี่ตุลย์และครอบครัวไปเรื่อยๆตามลำดับค่ะ จนต่อมา ได้มีโอกาสมีส่วนดูแลคุณแม่ของพี่ตุลย์ เมื่อท่านล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งท่อทางเดินน้ำดีด้วย เลยสนิทกันมากขึ้น จนตัดสินใจมาใช้ชีวิตร่วมกันนี่แหละค่ะ
• ก็เรียกได้ว่า มีทั้งเส้นทางบุญร่วมกัน และ ได้เห็นอกเห็นใจกันจนเป็นที่มาของความรักใช่มั้ยคะคุณหมอ…. คราวนี้ ออกนอกเรื่องนิดนึง คือ อยากทราบจริงๆค่ะ คุณหมอขออนุญาตถามเป็นวิทยาทานหรือธรรมทานก็ได้ค่ะ แล้วไอ้คลีนิคเวชศาสตร์ชะลอวัยและความงามของคุณหมอ กับ เส้นทางธรรม มันสวนทางกันมั้ยคะ?
• ต้องดูว่า สวนทางกับธรรมะแบบไหนด้วยค่ะ ถ้าเป็นธรรมะแบบโลกๆ ท่านส่งเสริมให้มีอาชีพที่ไม่ผิดศีลผิดธรรมไว้เลี้ยงตัว ไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ต้องปล้นใครกิน แล้วก็ไม่ต้องหลอกลวงใครให้มาเดือดร้อน เราทำให้คนมีโอกาสในการทำงาน มีโอกาสในการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น สุขภาพดีขึ้น มองอย่างนี้ถือว่าเราไม่ได้สวนทางธรรม
แต่หากเป็นธรรมะระดับปล่อยวาง ถ้าจะคิดก็ต้องบอกว่าสวนทางนะคะ เพราะเหมือนเรากระตุ้นให้คนเกิดกิเลสเพิ่มขึ้น ตอนจะทำก็กังวลมาก จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อกัณหา (หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม วัดป่าทรัพย์ทวี อ.วังน้ำเขียว) เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านก็เมตตาตอบว่า ถ้าคิดมากก็ไม่ต้องทำอะไรกินกันหรอก ไม่ต้องให้ยาฆ่าเชื้อคนไข้นะ เดี๋ยวเชื้อโรคตาย ต่อไปก็ไม่ต้องหายใจด้วย เดี๋ยวเชื้อในอากาศจะแย่ ตอนนั้นจากเครียดก็เลยเป็นขำไปค่ะ ได้คิดว่ายังไงฆราวาสส่วนใหญ่ก็ต้องทำอาชีพกระตุ้นกิเลสกันอยู่แล้ว ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ถ้ากลุ้มใจก็คงต้องหาทางเลือกอื่น เช่นไปบวช
ผลของความสวย ความเด็ก ที่หมอเพิ่มให้ หมอคงตั้งความหวังไม่ได้ว่า ลูกค้าทุกคนจะเอาไปใช้ตรึงตาตรึงใจแค่สามีคนเดียว เหมือนเราขายมีด เราคงไม่อาจกะเกณฑ์ให้เขาเอาไปใช้หั่นเนื้ออย่างเดียว ห้ามใช้แทงคน
แต่จากการเล่าเรื่องของหลายท่านที่ผ่านมา ทำให้หมอมั่นใจค่ะว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอกับสามีดีขึ้นจริงๆ เมื่อเธอดูแลตัวเอง สามีบางคนขับรถสปอร์ตมาที่เคาน์เตอร์และบอกจะจ่ายเงินไว้ให้ ทำอะไรให้แฟนเค้า ให้ทำต่อไป มีความสุขทั้งคนจ่ายและคนที่ได้ดูแลตัวเอง และนี่ก็เป็นการเล่าแบบไม่สวนทางธรรม เพราะมั่นใจว่าไม่ได้โกหกค่ะ
• อืมมมม เป็นมุมมองที่น่าสนใจมากค่ะ จริงๆ คุณหมอนิสัยส่วนตัวเป็นอย่างไรคะ?
• นิสัยเดิมเป็นคนใจร้อน ที่กำลังตั้งใจจะเป็นคนใจเย็นให้ได้ก่อนตายค่ะ (หัวเราะ) และตอนนี้ก็มั่นใจว่ากำลังอยู่ในทิศทางนั้นแล้วจริงๆ เดิมฟังแต่เสียงในหัวของตัวเอง เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ตอนนี้ได้ยินเสียงของคนอื่น ดังมากกว่าเสียงในหัวของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็รู้สึกเห็นใจผู้คนในโลกมากขึ้นกว่าสมัยเด็กๆมากมายมหาศาล อย่างขับรถ สมัยก่อนถ้าเห็นใครรีบ เราจะต้องแข่ง เพราะชั้นก็รีบ แต่ตอนนี้ก็คิดว่า เค้าอาจจะปวดอึก็ได้นะ (หัวเราะ) หรือ เค้าอาจจะมีธุระด่วนที่เราไม่รู้ก็ได้ ก็จะไม่ตัดสินอะไรจากแค่สิ่งที่เราเห็นง่ายๆเท่านั้นแล้วค่ะ
ข้อดี ที่ทำให้ชีวิตสนุก คือ เป็นคนชอบเรียนรู้ และจริงจังมาก โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพร่างกาย อาจจะเพราะเป็นหมอเด็กด้วยค่ะ โดสยาผิดไปเป็นมิลลิกรัม ก็อาจเกิดอันตรายได้ ร่วมกับเรามีความรู้ของหมอที่เรียนมาเกี่ยวกับร่างกาย เกี่ยวกับการเกิดโรค แถมไปรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ และเวชศาสตร์ชะลอวัยอีก ก็เลยสนใจเกี่ยวกับทุก ๆ อย่างที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะทุกอย่าง มีผลกับเราหมด
อย่างตอนนี้ก็ยังไปเรียนอะไรใหม่ ๆ ตลอด เอามาลองทำ
เพราะความรู้มันเกิดใหม่ตลอด ความรู้เดิมอาจจะเปลี่ยนจากผิดเป็นถูกก็ได้ เช่น ไขมันทรานส์ ตอนที่คิดขึ้นมาตอนแรกก็บอกว่าดี ไม่ต้องกินไขมันสัตว์ แต่ตอนนี้พบว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หลอดเลือดตีบ เราชอบที่ได้ศึกษาอะไรใหม่ ๆ มันสนุก ยิ่งถ้าเกิดประโยชน์กับคนที่เรารัก หรือคนอื่น ๆ ได้ประโยชน์ด้วย มันยิ่งมีความสุข
• แล้วนิสัยคุณดังตฤณล่ะคะ? อันนี้อยากทราบ ในฐานะเป็นแฟนผลงานท่าน
• พี่ตุลย์เป็นผู้ใหญ่ เป็นเหมือนที่พึ่งทางใจ พี่เค้าทำให้เรายอมได้ ยอมแบบศิโรราบเลยจริงๆ สมัยก่อนก็คิดว่า ชั้นก็หนึ่งในตองอู สอบเทียบ ม.5 แล้วยังจบหมอเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จบบอร์ดสองใบตั้งแต่อายุยังน้อย แต่พี่เค้าพูดออกมาไม่กี่ประโยค คือมันใช่ พี่ตุลย์เป็นคนที่มีมุมมองเหนือโลก เหมือนอยู่กับคนที่มีสายตามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ดีกว่าเรา
อารมณ์แบบว่าเราอยู่ในหมอก แต่สายตาเค้ามองทะลุหมอกได้ แล้วให้คำแนะนำเรา บอกถ้าเลือกทางนี้จะเป็นแบบนี้นะ ไปทางนั้นจะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่ได้บังคับ เคยลองเองแบบไม่ฟัง ก็ได้บทเรียนมาหลายสิ่งค่ะ
• อืมมม น่ารักมากๆเลยค่ะ แล้วคุณหมอ และ คุณดังตฤณ มีส่วนสนับสนุน ในงานของกันและกัน อย่างไรบ้างคะ?
• เรียกว่าตอนนี้เหมือนดูแลกันและกันค่ะ หมอก็ช่วยงานพี่ตุลย์เรื่องงาน แล้วก็ดูแลพี่ตุลย์ทางร่างกาย เพราะพี่เค้ามีโรคประจำตัวหลายอย่าง ซึ่งเป็นที่มาของคลีนิคเหมือนที่เล่าไปแล้ว รวมถึง โรงงานที่หมอพูดถึงซึ่งก็คือโรงงานสกัดน้ำสมุนไพร ตัวญาปัญ ก็เพื่อให้พี่ตุลย์แข็งแรงขึ้น โดยปัญหาหลักของพี่ตุลย์คือ โรคหลอดเลือดตีบ ทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาพอตรวจเจอ หมอก็สรรหาสารพัดสูตร จนมาลงตัวที่อันนี้ ที่เป็นสูตรสมุนไพรภูมิปัญญาแล้วหมอเอามาพัฒนาต่อยอดปรับปรุงสูตรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พอให้พี่ตุลย์ทานไปแล้วตรวจซ้ำ หลอดเลือดที่เคยตีบ 70 % ลดลงมาเหลือ 30 % แล้วค่าเลือดต่างๆก็ดีขึ้นด้วย อย่างเรื่องงานหมอก็ช่วยดูแลจัดการทุกเรื่องทั้งไอเดียงานหนังสือและมูลนิธิบูรณพุทธที่พี่ตุลย์ดำเนินงานอยู่พี่ตุลย์ก็ดูแลหมอทางใจ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับผู้คนและวิธีทำใจในการบริหารงาน เป็นที่ปรึกษาของชีวิตได้ทุกเรื่อง ไปจนถึงพาสวดมนต์ นั่งสมาธิ สอนเดินจงกรม
• ทราบว่า มีบุตรชาย ด้วยกัน 1 คน แอบเล่าเรื่องน้องให้ฟังนิดนึงได้มั้ยคะ? คุณพ่อคุณแม่ น่ารักขนาดนี้ น้องต้องมีอะไรที่น่าสนใจ หรือ มีเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกมาแชร์บ้างมั้ยคะ?
• อั้งเป็นเด็กที่ทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้ได้ขำกับมุขแปลกๆที่เขาคิดขึ้นมาแทบไม่ซ้ำในแต่ละวัน อย่างเช่นพี่ตุลย์เคยขอให้ทำให้คุณปู่ขำดังๆเดี๋ยวนี้เลย อั้งก็ทำเสียงเลียนแบบตัวการ์ตูนตลกๆที่คนทั้งโต๊ะหัวเราะพร้อมกันได้จริงๆ หรืออย่างบางทีก็เสนอคุณปู่ว่า อั้งจะเล่าเรื่องดีๆในชีวิตวัยเด็กของอั้ง แล้วเปลี่ยนตากัน ให้คุณปู่เล่าบ้างเป็นข้อๆ อะไรทำนองนี้หลายครั้งที่พ่อแม่เองก็งงว่าอั้งไปจำมาจากไหน ดูเหมือนเขามีมุขงัดขึ้นมาใช้ในแต่ละสถานการณ์ได้ตลอดเวลา เพื่อจัดการกับคนรอบตัวให้เอ็นดู หรือหลงรักเขาแบบอยู่หมัด การเลี้ยงดูก็ไม่ได้พิเศษอะไรมาก เริ่มต้นจากรู้จักและเข้าใจลูกเราจริงๆ เช่น อั้งเป็นเด็กที่ไม่ยอมรับฟังการสอนสั่งง่ายๆ คือดื้อระดับโลก พี่ตุลย์ก็อาศัยจุดอ่อนของเด็กๆ คือเด็กทุกคนจะชอบฟังนิทานใช่ไหมคะ? พี่ตุลย์ก็แต่งนิทานขึ้นมาเอง โดยอาศัยเหตุการณ์ในวันนั้นๆของอั้งเองมาเป็นตัวตั้ง แต่สมมุติชื่อตัวละครขึ้นมาใหม่ เหมือนไม่เกี่ยวกับอั้ง ซึ่งก็ปรากฏว่าได้ผลดี เพราะใจลูกนึกว่าเป็นเรื่องของคนอื่น แต่มีเรื่องราวที่ฉายให้เห็นตัวเขาได้ชัดเจนว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร หลายๆปีเข้าอั้งก็กลายเป็นเชื่อฟังหมอและพี่ตุลย์เกือบทุกอย่าง ใช้สอยอะไรก็รีบช่วยจัดการให้หมด บางทีก็เข้ามาบีบนวด มาประจบ มาบอกรักคุณพ่อคุณแม่เอง ไม่ค่อยเหลือแววเด็กดื้อแสนดื้อแล้ว
• เห็นคุณหมอทำอะไร เพื่อครอบครัว เยอะมากเลย แล้วจริงๆ ส่วนตัว คุณหมอมีความฝันส่วนตัวบ้างมั้ยคะ (นอกเหนือจากเป็นนางฟ้าเสกคนให้สวย)?
• (หัวเราะ) อันที่จริงตอนนี้หมอก็ได้ทำอะไรที่เราฝันไว้เกือบครบหมดแล้ว ตั้งแต่ทางโลกเรามีงานเป็นของตัวเองที่เราควบคุมให้เป็นไปในทางที่ไม่มีโทษ เป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวเรา ต่อลูกน้อง ต่อลูกค้า ทำงานได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องกังวลเรื่องผลกำไรมากไปกว่าความจริงใจ (อันนี้ทำได้เพราะไม่มีคนอื่นมากำหนดนโยบายสั่งเรา เรากำหนดเอง) มีชีวิตครอบครัวที่เข้าใจกัน ได้ส่งเสริมกันทั้งทางโลกและทางธรรม ได้ทำมูลนิธิเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ที่ผ่านมาก็มีทั้งสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล สร้างวัด และช่วยกันบูรณะพุทธศาสนา บูรณะทั้งวัตถุและบุคคล มีกัลยาณมิตรที่ดี มีเพื่อนที่ดี
• ฟังแล้ว คุณหมอ และ คุณดังตฤณ ทำอะไรเยอะมากกกกก รบกวนสรุปอีกนิดได้มั้ยคะ ว่า ทำอะไรบ้าง เผื่อมีคนสนใจ เอาทั้งทางโลก และ ทางธรรม ด้วยเลยก็ได้ค่ะ
• ก็มีคลินิก ณัฐชญา คลินิก ที่ทำเกี่ยวกับเวชศาสตร์ชะลอวัย ศัลยกรรม เลเซอร์ ความงาม กายภาพบำบัด และมีทำผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับร่างกาย ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาแบบต่าง ที่เป็นสูตรเฉพาะที่คิดขึ้นเอง แบรนด์ Doctor’s recipe ก็มาจากความที่ชอบคิด ชอบผสม เลือกเอาสิ่งดี ๆ ที่เราใช้เอง มารวมกันเป็นสูตรของเรา เช่นตัว ไฟเบอร์ดินเนอร์ เจลกุหลาบ ครีมบำรุง โรงงานสารสกัดจากน้ำสมุนไพร ญาปัญ ที่ปกติต้องทำให้พี่ตุลย์และกินเองทุกวันอยู่แล้ว
และสำนักพิมพ์ฮาวฟาร์ ที่พิมพ์งานเขียนต่าง ๆ ของพี่ตุลย์
และนอกจากนี้ หมอก็เป็นคอลัมนิสต์ให้กับเดลินิวส์ และ โพสต์ทูเดย์ค่ะ ส่วนทางธรรม เราก็พัฒนาตัวเอง พัฒนาจิตไปตามที่เราทำได้ เพราะชีวิตคน อยู่นอกวัดมากกว่าในวัด ถ้าทำทุกวันให้เป็นการภาวนาได้ มันก็จะเดินหน้าไปได้เรื่อย ๆ
• สุดท้ายแล้ว คุณหมอ มีอะไรจะฝากทางทีมงานไปยังผู้อ่านเพิ่มเติมอีกมั้ยคะ? เพราะโลกสมัยนี้มันอยู่ยาก แต่คุณหมอ ดูมีความสุขมาก ทั้งเรื่องงาน ครอบครัว และ เส้นทางธรรม
• สมัยก่อนหมอก็เป็นคนที่เครียดง่ายมาก เพราะเราอยากให้ทุกอย่างมัน perfect พอมีปัญหาก็เครียด ความเครียดก็ทำให้เราเป็นทุกข์ เพราะเอาปัญหาไปผูกกับความเครียด ทั้งที่จริง ๆ มันเป็นคนละก้อนกัน เราสามารถแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องเครียดนะ ความเครียดซะอีก จะทำให้เราแก้ปัญหาไม่ได้. ซึ่งพอใช้ชีวิตมาถึงจุดนี้ หมอก็ได้ข้อสรุปว่า คิดให้ถูกทาง แล้วทางจะพาเราไปหาความสบายใจได้เอง เครียดน้อยลง หรือไม่เครียดเลยได้เอง เช่น แทนการคิดแบบเอาผิดกับคนอื่น เปลี่ยนมาเป็นคิดช่วยให้เขาถูกต้องขึ้นดีกว่าไหม
เรื่องงาน ก็ทำเต็มที่แบบที่คิดว่าไม่มีที่ติ แต่ถ้าลูกค้าติ เราก็พร้อมแก้ไขให้ได้ทุกครั้ง ความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ จากเดิมที่หวังว่าจะไม่มีปัญหาเลย มันเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้เห็นปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มองว่าแก้ปัญหาเล็กๆได้ด้วยใจที่สบายคือการประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ในชีวิตวันนั้น ขนาดของปัญหาจะขึ้นอยู่กับขนาดใจของเรา ถ้าใจเราใหญ่ ใจเราเย็น ปัญหาก็เล็กลงได้ค่ะ มันทำให้มีความสุขทั้งกับคน ทั้งกับงานค่ะ
• เป็นอย่างไรบ้างคะ? สำหรับบทสัมภาษณ์คุณหมอกุ๊กไก่ เธอน่ารักจริงๆใช่มั้ยคะ? เราบอกแล้วว่า คุณจะเสียดาย…ถ้าไม่ได้รู้จักเธอ
# # # #
สื่อมวลชนสอบถามเพิ่มเติม ได้ที่
คุณณิชนันทน์ ศิริสุขีประดิษฐ์ (ใหม่) โทร 061 8688 553 อีเมล์ nidchanan@notablebkk.com
คุณไอยย์รัศ สิทธิพูล (โน้ต) โทร 062 185 9681 อีเมล์ aiyaras@notablebkk.com