“30 ปี เป็นวัยที่มีพลังและความพร้อมที่จะเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง”
— เสวก ศรีสุชาต —
หากเปรียบองค์กรกับอายุคนวัย 30 ปี ก็คงเสมือนกับคนวัยหนุ่มที่กำลังเปี่ยมด้วยพลังที่มุ่งหวังจะสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองในอนาคต แต่ในขณะที่องค์กรนั้นอาจจะมีความแข็งแกร่งมากกว่า และพร้อมที่จะสร้างทีมงานรุ่นต่อไปให้เป็นพลังผลักดันไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน
เช่นเดียวกับบริษัทวิศวกรรมผู้เชี่ยวชาญการติดตั้งระบบประกอบอาคาร (MEP) และงานด้านก่อสร้างโครงสร้างและสถาปัตย์สัญชาติไทย “เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง” ที่วันนี้ได้เดินทางผ่านร้อนผ่านหนาวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมายสู่ปีที่ 31 และยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าเติบโตด้วยพลังของคนหลายรุ่น
นายเสวก ศรีสุชาต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) เล่าถึงปัจจัยเบื้องหลังความสำเร็จ 3 ทศวรรษของเพาเวอร์ไลน์ฯ ในฐานะผู้ก่อตั้งองค์กรที่เริ่มต้นจากการรวมตัวของกลุ่มวิศวกรหนุ่มไฟแรงที่มีความเชี่ยวชาญในแขนงต่างๆ จนวันนี้กลายเป็นผู้นำด้านด้านวิศวกรรมก่อสร้าง และติดตั้งระบบประกอบอาคารในประเทศไทย ด้วยแนวคิด “สร้าง-บริหาร-พัฒนา-ส่งเสริม”
“สร้าง” สัมพันธ์และพันธมิตร
หลายครั้งที่เพาเวอร์ไลน์ฯ ได้รับผลกระทบจากภาวะทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ อาทิ เมื่อปี 2540 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ส่งผลกระทบต่องานรับเหมาก่อสร้าง หรือท่ามกลางการแข่งขันระหว่างผู้
รับเหมาก่อสร้างเอง เราก็สามารถผ่านวิกฤติได้ด้วยการสนับสนุนทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร อาทิ พนักงาน ทีมผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น ซัพพลายเออร์ ซับคอนแทรคเตอร์ รวมถึงลูกค้า และที่ปรึกษาโครงการ ที่ให้ความช่วยเหลือและให้การสนับสนุน ตัวอย่างเช่น พนักงานและทีมผู้บริหารที่ยอมที่จะลดเงินเดือนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในช่วงที่บริษัทอยู่ในช่วงวิกฤติ เพื่อให้องค์กรเดินหน้าต่อไปได้ หรือซัพพลายเออร์คู่ค้าของเราที่ร่วมกันปรับวิธีการดำเนินการจ่ายเงินให้สามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤติร่วมกัน
“บริหาร” ระบบจัดการหลังบ้าน
ทุกธุรกิจต้องการลดต้นทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งกำไรที่เพิ่มขึ้น โดยเราจะต้องทำการลงทุนเพื่อสร้างระบบในการบริหารต้นทุนเหล่านั้น ดังนั้น เพาเวอร์ไลน์ฯ จึงเลือกที่จะใช้ระบบเทคโนโลยี Revit ซึ่งเป็นซอฟท์แวร์ที่ออกแบบมาสำหรับการโมเดลรายละเอียดอาคาร (BIM-Building Information Modeling) โดยเฉพาะ ซึ่งการนำเอาซอฟท์แวร์ที่มีประสิทธิภาพระดับสากลมาช่วยในการทำงานเพื่อให้ความแม่นยำในการสร้างระบบจำลองของอาคาร โดยเทคโนโลยีนี้จะช่วยให้ทีมสถาปนิก วิศวกร ผู้รับเหมาก่อสร้าง และบำรุงรักษา สามารถควบคุมต้นทุนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดข้อผิดพลาดที่จะเกิดหน้างานอันเป็นต้นทุนที่ควบคุมไม่ได้ และที่สำคัญทีมงานจะประหยัดเวลาและพลังงาน ดังนั้นพวกเขาจะสามารถไปสร้าง value ในด้านการบริการอื่นๆ ได้เต็มที่มากกว่า
“พัฒนา” ให้เท่าทันเทคโนโลยี
เราไม่อาจจะปล่อยให้เทคโนโลยีมาดิสรัปท์มนุษย์ เพาเวอร์ไลน์ฯ มองในเรื่องของโอกาสของการใช้เทคโนโลยีมาเสริมศักยภาพการทำงานต่างๆ ให้ดีขึ้น ซึ่งเรามีการจัดอบรมการใช้งานเทคโนโลยีต่างๆ ให้กับพนักงานในทุกสัปดาห์ ในอนาคตเพาเวอร์ไลน์ เตรียมที่จะนำ Big Data สามารถเชื่อมต่อฐานข้อมูลได้ทั่วโลกเพื่อใช้ในการทำงานเรื่องของการบริหารจัดการ Supply Chain ของบริษัท เนื่องจากเราไม่สามารถที่จะแข่งขันเพียงแค่ในประเทศ การก้าวออกไปเป็นผู้นำในอาเซียน จะต้องเท่าทันและมีฐานข้อมูลของคู่ค้าที่จะมาร่วมเป็นพันธมิตรกับเราเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ
“ส่งเสริม” ทีมเวิร์คแข็งแกร่ง
เพาเวอร์ไลน์ฯ เดินทางมาถึงปีที่ 30 เรารวมเอาผู้คนหลายเจนเนอเรชั่นเข้าไว้ด้วยกัน ปัจจุบันบริษัท มีพนักงานตั้งแต่ทีมบริหาร วิศวกร เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ จำนวนร่วม 1,200 คน และยังมีทีมงานที่เป็นซับคอนแทรคเตอร์อีกจำนวนมาก ทำให้นอกจากมีคนหลายรุ่น ยังมีคนที่หลากหลายความคิดและความสามารถ เพื่อให้ทีมงานสามารถบริหารโครงการได้อย่างราบรื่น เราจึงต้องส่งเสริมการทำงานในรูปแบบ “ทีมเวิร์ค” และทำงานกันอย่างสมดุล ระหว่างทักษะด้าน “บุ๋น” คือ จัดการทรัพยากรและต้นทุน และ ทักษะด้าน “บู๊” บริหารหน้าไซต์งานให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงผลักดันให้การทำงานบนความแตกต่างของคน Gen X, Gen Y และ Gen Z ให้สามารถทำงานร่วมกันได้ตามความสามารถและศักยภาพของพวกเขา โดยบริษัทเองก็มีโปรแกรมการให้รางวัลอย่างเป็นระบบ
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง นำเอาแนวคิด “สร้าง-บริหาร-พัฒนา-ส่งเสริม” มาใช้เป็นเบื้องหลังความสำเร็จ แต่เราจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ เพราะในอนาคตบริษัทเองยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะนำเอานวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เข้ามาพัฒนาให้ทั้งทีมงาน องค์กร และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อให้เราสามารถเติบโตไปด้วยกันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายเสวกกล่าวเสริม