CCP มองอุตสาหกรรมคอนกรีตปี 2561 แนวโน้มดี งานรัฐเพิ่ม

0
374
image_pdfimage_printPrint

นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) (CCP) เปิดเผยว่า ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์คอนกรีตปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยเป็นผลจากการลงทุนงานโครงสร้างพื้นฐานในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อาทิ ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด สนามบินอู่ตะเภา ทยอยเริ่มดำเนินงานก่อสร้าง

อีกทั้งยังมีโครงการของหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ต่างๆ ที่มีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง อาทิ งานถนน กำแพงกันดิน อาคารสำนักงาน ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2560 ที่ผ่านมา เริ่มมีการลงทุนเปิดโครงการใหม่มากขึ้น แต่การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมจะเริ่มลงทุน คาดว่าไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป

สำหรับเป้าหมายการเติบโตปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ประมาณ 2,800 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากงานภาครัฐ 70% และภาคเอกชน 30% โดยแผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทยังมุ่งเน้นการเข้ารับงานภาครัฐทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้สามารถรองรับงานโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างหลากหลาย ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งงบสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ปรับปรุงเครื่องจักรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไว้ที่ประมาณ 50 ล้านบาท

“ในปีนี้การแข่งขันในเรื่องของราคาน่าจะลดความร้อนแรงลง ทำให้ราคาคอนกรีตผสมเสร็จ (Ready Mixed) ที่ถูกกดดันราคาในช่วงที่ผ่านมา จะเริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้ในช่วงไตรมาส 3/61 ด้านสินค้า Precast ยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ ออกสินค้านวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง รองรับงานโครงสร้างพื้นฐาน และงาน Landscape ซึ่งมีความต้องการใช้งานเพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันมีหน่วยงานหลายแห่งเริ่มนำผลิตภัณฑ์ Precast ของบริษัทเข้าไปใช้ในงานด้าน Landscape ในปีนี้บริษัทจะเน้นการทำตลาดผลิตภัณฑ์ในส่วนนี้มากขึ้นด้วยเช่นกัน”นายอาทิตย์กล่าว

นอกจากนี้จะมุ่งเน้นการเปิดตลาดใหม่ เพื่อขยายฐานลูกค้าและกระจายความเสี่ยง รวมทั้งขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป ผ่านโมเดิร์นเทรด ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง อาทิ ไทวัสดุ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายย่อยทั่วประเทศ

ปัจจุบันบริษัทมี Backlog ประมาณ 2,500 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน แบ่งเป็นการรับรู้รายได้ภายในปีนี้ 60% โดยบริษัทจะทยอยประมูลงานเข้ามาเพิ่มอีกในอนาคต เพื่อรักษาระดับมูลค่างานในมือ (Backlog) ไว้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท

# # # # # # # # # # # # #