EPG เผยแนวโน้มธุรกิจปี 60/61 เติบโตอย่างมั่นคง ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10%

0
413
image_pdfimage_printPrint

รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์น โพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจของบริษัท ปี 60/61 ว่า มีแนวโน้มเติบโตในเกณฑ์ดี จากแผนการขยายตลาดทุกสาขาธุรกิจ การควบคุมต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และการให้ความสำคัญกับการคิดค้นนวัตกรรม การวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับสินค้าทั้ง 3 กลุ่ม ประกอบด้วย ฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ AEROFLEX ชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS และบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ EPP

ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปี 60/61 (เม.ย.60 – มี.ค.61) จะไม่ต่ำกว่า 10% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตลาดผลิตภัณฑ์ของบริษัทในกลุ่มธุรกิจหลักทั้ง 3 กลุ่ม ให้ครอบคลุมตอบโจทย์ลูกค้าทุกระดับทั่วโลก

รศ.ดร.เฉลียว กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 59/60 เพื่อขออนุมัติออกและเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มช่องทางการระดมทุนของบริษัท ให้มีเครื่องมือในการระดมทุนซึ่งมีต้นทุนทางการเงินต่ำ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต เช่น หากมีดิวสำคัญที่ต้องตัดสินใจจะทำให้บริษัทสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ได้เตรียมเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปีให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 420 ล้านบาท มีกำหนดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 59/60 ในวันที่ 27 ก.ค. 60 กำหนดปิดสมุดทะเบียนเพื่อจ่ายเงินปันผลในวันที่ 8 ส.ค. 60 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 25 ส.ค. 60

“EPG ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.10 บาท/หุ้น เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.59 หากรวมกับการปันผลในครั้งนี้อีก 0.15 บาท ซึ่งจะมีการขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 59/60 จะทำให้บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลรวม 0.25 บาท/หุ้น หรือประมาณ 51% (payout ratio) ของกำไรสุทธิ” รศ.ดร.เฉลียว กล่าว

สำหรับผลประกอบการปี 59/60 บริษัทมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 9,280 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จาการขายอยู่ที่ 8,765 ล้านบาท จำนวน 515 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.9% ซึ่งถือเป็นยอดรายได้สูงสุดในการดำเนินงานของบริษัท สัดส่วนรายได้ แบ่งเป็น AEROKLAS 45%, AEROFLEX 28%, EPP 27 % และมีกำไรสุทธิ 1,383 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,414 ล้านบาท หรือลดลง 2.2% อย่างไรก็ตามบริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในเกณฑ์ดีที่ 32% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทเติบโตจากกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeoroklas มียอดขายรวม 4,176 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15.9% จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายหลังคารถกระบะ (Canopy) บันไดข้างรถ (Side Step) โดยบริษัทได้ทยอยเพิ่มกำลังการผลิตของทั้งสองผลิตภัณฑ์นี้เพื่อรองรับการเติบโต และรายได้จาก TJM ในประเทศออสเตรเลีย ขณะที่ AEROKLAS มีการขยายตลาดในยุโรป เอเชีย และโอเชียเนียอย่างต่อเนื่อง

ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มียอดขายรวม 2,642 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.7 % จากการจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ โดยบริษัทมีการขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มประเทศแถบเอเชียมากขึ้นอาทิ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม

ขณะที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มียอดขายรวม 2,462 ล้านบาท ลดลง 4 % เนื่องจากยอดขายภายในประเทศลดลงตั้งแต่ช่วงปลายปี 59 ถึงต้นปี 60 ตามกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ซึ่งจากข้อมูลสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยแสดงให้เห็นว่าตลาดบรรจุภัณฑ์พลาสติกลดลง 17% ตั้งแต่เดือนม.ค. – มี.ค. 60 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม EPP มีความพร้อมอย่างมากด้านศักยภาพในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก ส่งผลให้ปัจจุบัน EPP มีกำลังการผลิตสูงถึง 32,000 ตัน/ปี เพื่อรองรับการความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ
………………………………………………….