ไมโครซอฟท์ เปิดตัว Experience Center แห่งแรกของโลกที่สิงคโปร์

0
258
image_pdfimage_printPrint

ไมโครซอฟท์เผยรูปแบบสถานที่ทำงานแห่งอนาคต เพื่อเป็นแม่แบบสำหรับองค์กรต่าง ๆ ในภูมิภาค ทั้งในด้านผลิตภาพ ประสิทธิภาพ การเข้าถึง ความยืดหยุ่น และความร่วมมือ

ในโลกที่มีแนวโน้มว่าอุปกรณ์กว่า 4 หมื่นล้านเครื่องจะสร้างข้อมูลเกือบ 80 เซตตะไบต์ (ZB) ภายในปี 2025 องค์กรและอุตสาหกรรมต่าง ๆ จำเป็นต้องนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้อย่างรวดเร็วและเสริมสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยี เพื่อรับประกันความสำเร็จในอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม คลาวด์ และปัญญาประดิษฐ์

ไมโครซอฟท์ต้องการสร้างประสบการณ์ทางเทคโนโลยีที่ครอบคลุมและสมจริงให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก เพื่อช่วยให้เห็นภาพ เรียนรู้ และสามารถใช้นวัตกรรมรองรับการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลและวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้ ไมโครซอฟท์จึงเปิดตัว “The Experience Center Asia” ภายในสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคแห่งใหม่ของบริษัท ซึ่งอยู่ในอาคาร Frasers Tower ประเทศสิงคโปร์ โดยมีการรวบรวมเทคโนโลยีและพาร์ทเนอร์เพื่อมอบพลังให้กับทุกองค์กรในทุกอุตสาหกรรมในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัล ปฏิรูปองค์กร สร้างสรรค์นวัตกรรม และพลิกโฉมธุรกิจ

Andrea Della Mattea ประธานไมโครซอฟท์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “เราเชื่อว่าทุกบริษัทจะกลายเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัลและความเข้มข้นทางเทคโนโลยีกลายเป็นสิ่งที่แพร่หลายในทุกองค์กร The Experience Center Asia จะเปิดทางให้ธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกได้เรียนรู้เกี่ยวกับความจำเป็นเร่งด่วนของการพลิกโฉมธุรกิจและแสวงหาโซลูชันอุตสาหกรรมที่สร้างความเป็นไปได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ผ่านการจับมือเป็นพันธมิตรกับไมโครซอฟท์”

“สำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคแห่งใหม่ของของเราคือสถานที่ทำงานแห่งอนาคต เราทำให้องค์กรต่าง ๆ ในภูมิภาคได้เห็นรูปแบบการทำงานแห่งอนาคต บนพื้นฐานของคลาวด์คอมพิวติง การวิเคราะห์ข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ และวัฒนธรรมการเปลี่ยนแปลง ดิฉันรู้สึกยินดีที่ได้มาทำงาน เพื่อนร่วมงานก็ช่วยสนับสนุนภารกิจในทุก ๆ วันด้วยการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย ความเป็นอยู่ที่ดี ความยั่งยืน ความเป็นมิตร และการเข้าถึงสำหรับทุกคน”

ส่วนต่าง ๆ ของ The Experience Center Asia ประกอบด้วย

– The Experience Zone มีการสาธิตเทคโนโลยีและตัวอย่างการใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจะพาลูกค้าไปสัมผัสกับโซลูชันเทคโนโลยีที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ และช่วยให้ลูกค้ามองเห็นความเป็นไปได้ในอนาคต

– The Microsoft Technology Center (MTC) นำเสนอความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีที่ช่วยในการตัดสินใจ โดยนำทรัพยากรที่เหมาะสมมาช่วยให้ลูกค้าสามารถขยายขนาดดีลและปิดดีลได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็เพิ่มความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า

– The Cybersecurity Center แสดงผลวิเคราะห์ภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างชาญฉลาด สร้างการรับรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับแพลตฟอร์มดิจิทัลและคลาวด์คอมพิวติงที่เชื่อถือได้

– The Innovation Factory นำเสนอแนวคิดและไอเดียเกี่ยวกับแฮกกาธอน

Rebecca Hick ผู้อำนวยการ Microsoft Experience Center Asia กล่าวว่า “สิงคโปร์เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคของบริษัทข้ามชาติจำนวนมาก ที่นี่มีระบบนิเวศสำหรับผู้ประกอบการที่ทรงพลัง และเป็นปลายทางความร่วมมือระหว่างประเทศสำหรับบรรดาผู้เชี่ยวชาญชั้นนำและหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ เราเปิด Experience Center แห่งแรกของโลกที่สิงคโปร์เพื่อเปิดโอกาสให้องค์กรต่าง ๆ เข้าถึงนวัตกรรมและประสบการณ์จากผู้นำและเทคโนโลยีของเรา ไมโครซอฟท์เป็นผู้นำด้านการนำเสนอประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าเสมอมา ลูกค้าจำนวนมากเคยไปเยี่ยมเยือน Executive Briefing Center ในซีแอตเทิลมาแล้ว และมองหาประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกันเพราะต้องการสร้างมูลค่าของธุรกิจให้เร็วขึ้น”

สถานที่ทำงานแห่งอนาคต

เอเชียแปซิฟิกเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดของไมโครซอฟท์ และมีความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ เพราะมอบโอกาสมหาศาลในการพลิกโฉมประเทศ อุตสาหกรรม และชุมชนต่าง ๆ ไปสู่ระบบดิจิทัล ไมโครซอฟท์เป็นแม่แบบให้กับองค์กรต่าง ๆ ในการนำวัฒนธรรม พื้นที่ และเทคโนโลยีมาใช้สร้างสรรค์สถานที่ทำงานแห่งอนาคต

สำนักงานแห่งใหม่ของไมโครซอฟท์มี 6 ชั้น ครอบคลุมพื้นที่ 12,500 ตารางเมตร โดยเป็นที่ทำงานของพนักงาน 1,400 คน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เชื่อมโลกดิจิทัลและโลกแห่งความเป็นจริงอย่างกลมกลืน ภายในสำนักงานมีกล้องสแกนใบหน้าระบบ AI ที่ช่วยรักษาความปลอดภัยและให้พนักงานขึ้นลงทั้ง 6 ชั้นได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากนั้นยังมีตู้ล็อกเกอร์อัจฉริยะและตู้จ่ายสินค้าอัตโนมัติที่ช่วยเติมเต็มบริการด้านไอทีของบริษัท เมื่อพนักงานต้องการเปลี่ยนอุปกรณ์อย่างคีย์บอร์ด เมาส์ หูฟัง สายไฟ ฯลฯ ก็สามารถใช้บริการตู้จ่ายสินค้าอัตโนมัติได้ โดยบัตรพนักงานจะบันทึกรายการสินค้า ซึ่งมอบความสะดวกสบายในการติดตามสินค้า

พนักงานและเจ้าหน้าที่ของไมโครซอฟท์ใช้แอปพลิเคชัน Smart Building CampusLink ที่ทำงานร่วมกับ Microsoft Outlook และ Microsoft Office 365 เพื่อช่วยนำทาง ดูข้อมูลห้องว่าง และจองห้องแบบเรียลไทม์ สำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของไมโครซอฟท์ใช้ Azure App Services, Azure Data Lake และ Office 365 Graph API และเป็นสำนักงานแห่งแรกนอกเหนือจากสำนักงานในเรดมอนด์ รัฐวอชิงตัน ที่ใช้ Smart Building CampusLink

การมีส่วนร่วมของพนักงาน

พนักงานมีบทบาทสำคัญในการวางแผนย้ายสำนักงานมาที่อาคาร Frasers Tower ตั้งแต่การเลือกเฟอร์นิเจอร์ ผลงานศิลปะสำหรับตกแต่ง และการออกแบบภายในอื่น ๆ ไปจนถึงการโหวตเลือกยี่ห้อกาแฟ และการนำภาพถ่ายของตนเองมาตกแต่งผนัง นอกจากนี้ พนักงานยังมีมุมสงบสำหรับโฟกัสกับงาน ตู้โทรศัพท์ รวมถึงพื้นที่รับประทานอาหารรวมขนาดใหญ่ ซึ่งมีคาเฟ่ บาริสตา และเมนูอาหารหลากหลายสำหรับทุกคน ภายในสำนักงานมีการจัดรูปแบบที่นั่งหลากหลายตามลักษณะการทำงานที่แตกต่างกันไป ทั้งโต๊ะยืน ห้องประชุมเล็ก และพื้นที่เปิดสำหรับทำงานเป็นทีม

เข้าถึง เสมอภาค และยั่งยืน

ไมโครซอฟท์ฉลองวัฒนธรรมอันหลากหลายในสิงคโปร์และภูมิภาค ด้วยจิตรกรรมฝาผนังโดยฝีมือของศิลปินท้องถิ่น May Lim และการตกแต่งสไตล์เปอรานากันทั่วออฟฟิศ นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังให้ความสำคัญกับความเสมอภาค และรับประกันว่าทุกคนสามารถเข้าถึงได้ สำนักงานของไมโครซอฟท์ทุกแห่งยึดมั่นในมาตรฐานการเข้าถึงระดับโลก และสำนักงานสิงคโปร์ก็ปฏิบัติตามกฎ Accessibility code in the built environment (2013) ของ Building and Construction Authority of Singapore

ห้องประชุมทุกห้องและพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดมีป้ายอักษรเบรลล์ ขณะที่แปลนของชั้นต่าง ๆ ตู้เก็บของ และข้าวของเครื่องใช้ในครัวออกแบบมาให้เคลื่อนย้ายสะดวกและใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้วีลแชร์ ส่วนการประชุมก็เริ่มได้เพียงปลายนิ้ว นอกจากนั้นยังมีโต๊ะปรับระดับความสูงได้ตามความต้องการของพนักงาน จอบอกทาง จุดสแกนบัตร กล้องสแกนใบหน้าด้วยระบบ AI ห้องน้ำที่ใช้ได้ทุกเพศ และพื้นที่ส่วนกลางสำหรับทุกคน ซึ่งทั้งหมดล้วนสนับสนุนพันธกิจของไมโครซอฟท์ในการสร้างสถานที่ทำงานที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัยในการเป็นตัวของตัวเอง

ไมโครซอฟท์บริจาคเฟอร์นิเจอร์ พรม รวมถึงอุปกรณ์ภาพและเสียงจากสำนักงานเก่าให้แก่ Base of Pyramid Hub (BoP Hub) องค์กรไม่แสวงผลกำไรในสิงคโปร์ที่ก่อตั้งโดย Jack Sim ซึ่งมีเป้าหมายในการส่งเสริมธุรกิจในระดับรากหญ้า เพื่อทลายวงจรความยากจนด้วยการสร้างผู้ประกอบการ เชื่อมโยงหุ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงให้คำปรึกษาและจัดหาทรัพยากรที่จำเป็น นอกจากนั้นยังเป็นประตูที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจร่วมทุน นักเทคโนโลยี และผู้ผลิตได้เข้าถึงตลาดในภูมิภาค และทำหน้าที่เป็นโคเวิร์กกิ้งสเปซด้วย

Jack Sim ผู้ก่อตั้ง Base of Pyramid Hub กล่าวว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นวัฒนธรรมของไมโครซอฟท์ด้วยตาตัวเอง ทุกคนที่ผมได้พบเจอต่างต้องการมีส่วนร่วมในการขจัดความยากจนทั่วโลก ผมได้เจอพนักงานจากไมโครซอฟท์ ไฮเดอราบัด เขาแนะนำให้ผมรู้จักเพื่อนร่วมงานในสิงคโปร์ จากนั้นก็แนะนำให้รู้จักเพื่อนร่วมงานที่เรดมอนด์ หลังจากนั้นไมโครซอฟท์ได้มอบเก้าอี้สำหรับสำนักงานใหม่ขนาด 65,000 ตารางฟุตของเรา นอกจากนั้นยังช่วยจ่ายค่าขนส่งและนำพนักงานกว่า 100 คนมาช่วยปูพรมและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ด้วย เราพร้อมแล้วที่จะรองรับสตาร์ทอัพและองค์กรเพื่อสังคมอย่างน้อย 50 รายในปีแรก”

สำนักงานใหญ่ประจำเอเชียแปซิฟิกแห่งใหม่ของไมโครซอฟท์มีสิ่งที่น่าสนใจดังนี้

– การเดินสายไฟยาวเกือบ 145,000 เมตร ซึ่งสูงกว่ายอดเขาเอเวอเรสต์ 16 เท่าครึ่ง หรือยาวกว่าสนามฟุตบอล 1,500 เท่า

– จอภาพขนาดต่าง ๆ เกือบ 200 จอในห้องประชุมและพื้นที่ส่วนกลาง

– พื้นที่มีโซฟาสำหรับจับกลุ่มกว่า 30 จุด และตู้กันเสียง 50 ตู้สำหรับประชุมเล็กหรือโทรศัพท์

– อุปกรณ์ส่งสัญญาณบลูทูธ 179 ตัวในห้องประชุม และเซนเซอร์ 900 ตัวสำหรับควบคุมไฟส่องสว่าง คุณภาพอากาศ และอุณหภูมิ โดยจุดปล่อยสัญญาณอินเทอร์เน็ตเกือบ 2,100 จุดในอาคาร Frasers Tower เชื่อมกับคลาวด์บน Microsoft Azure ทั้งนี้ เซนเซอร์และตัวส่งข้อมูลทางไกลทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้สิ่งอำนวยความสะดวก พลังงาน และสาธารณูปโภค เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้พื้นที่ การปรับอากาศ และการปรับแสงไฟ

– ในอนาคต เซนเซอร์เหล่านี้สามารถวัดระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อประสิทธิภาพการทำงานและการทำกิจกรรม รวมถึงวัดระดับเสียงในหน่วยเดซิเบล และวัดการใช้พลังงาน ซึ่งช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากถึง 25% เช่นเดียวกับที่สำนักงานใหญ่ของไมโครซอฟท์ในเรดมอนด์ รัฐวอชิงตัน

ศูนย์ปฏิบัติงานของไมโครซอฟท์ในเอเชียแปซิฟิก ประกอบด้วย

– Microsoft Research Lab 2 แห่ง
– Azure Region 17 แห่ง
– Innovation Center 67 แห่ง
– Microsoft Technology Center 6 แห่ง
– Cybersecurity Center 5 แห่ง
– Transparency Center 2 แห่ง
– ICT Center กว่า 590 แห่ง
– ไมโครซอฟท์ดำเนินงานในเอเชียแปซิฟิกมานานกว่า 30 ปี โดยดำเนินงานในตลาด 20 แห่ง มีพนักงานกว่า 20,000 คน และพาร์ทเนอร์ 100,000 ราย

รับชมภาพประกอบข่าวได้ที่ https://edelmanftp.app.box.com/s/wpoq1bppy391qss9speoyuwnw1t38hx1