6 ธ.ค. 54 – บลจ.ทิสโก้โชว์ผลงานโดดเด่น บริหาร “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไทย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8% กอง 2” เข้าเป้าหมาย 8% ใช้เวลาเพียง 2 เดือนเศษ ชี้ปีหน้าการลงทุนในตลาดหุ้นยังน่าสนใจมากที่สุด แนะลงทุนในตลาดหุ้นจีน ที่เศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง เพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดี ด้านตลาดหุ้นไทยสดใสต่อเนื่อง
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุนธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Senior Vice President, Head of Marketing and Wealth Advisory Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า จากที่ บลจ.ทิสโก้ ได้ ทำการเสนอขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไทย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8% # 2” ซึ่งมีอายุโครงการประมาณ 1 ปี โดยเป็นกองทาร์เก็ตฟันด์ที่เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีเงื่อนไขสามารถเลิกกองทุนก่อนครบกำหนดอายุโครงการ หากสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 8% หรือ NAV มีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.8000 บาทได้นั้น ขณะนี้ NAV ของกองทุนดังกล่าว ณ วันที่ 1 ธ.ค. 54 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 10.9261 บาทต่อหน่วย ทำให้เข้าเงื่อนไขการเลิกโครงการได้ก่อนกำหนด ซึ่งหากนับตั้งแต่วันที่ได้ทำการเปิดเสนอขาย ใช้เวลาเพียง 2 เดือนเศษเท่านั้น พิสูจน์ความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการกองทุนของ บลจ.ทิสโก้ ได้เป็นอย่างดี
“ในช่วงที่เราเปิดขายกองทุนเปิด ทิสโก้ ไทย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8% # 2 ประมาณต้นเดือนต.ค. เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานลงมาค่อนข้างแรง เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับวิกฤติหนี้ในยุโรป โดยในส่วนของตลาดหุ้นไทยก็ได้รับผลกระทบดังกล่าวเช่นเดียวกัน ทำให้ดัชนีปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่น่าลงทุน ทั้งนี้บลจ.ทิสโก้เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยยังคงมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และได้รับผลกระทบไม่มากจากปัญหาวิกฤติหนี้ในยุโรป จึงนับเป็นโอกาสของนักลงทุนในการเข้าลงทุนในหุ้นที่ราคาถูกเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมาย และขณะนี้สถานการณ์โดยรวมถือว่าเป็นไปตามที่ได้คาดไว้ ทำให้เราสามารถปิด “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไทย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8% # 2” ได้เร็วกว่ากำหนด และใช้เวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นของขวัญส่งท้ายปีให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน”
ด้าน TISCO Wealth ซึ่งเป็นบริการที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุนครบวงจรของกลุ่มทิสโก้ มีมุมมองว่า ปัญหาในยุโรปขณะนี้ได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง จนทำให้นักลงทุนทั่วโลกเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น โดยล่าสุดธนาคารกลางหลัก ๆ หกแห่งของโลกตกลงร่วมมือกันในการลดดอกเบี้ยการทำ Dollar Swap เพื่อลดต้นทุนการเงินของยุโรป ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีที่ประเทศหลัก ๆ ของโลกพร้อมใจกันแก้ปัญหาวิกฤติหนี้ในยุโรปครั้งนี้เพื่อไม่ให้ลุกลามไปทั่วโลก หลายๆประเทศได้หันกลับมาใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายโดยการลดดอกเบี้ย และอัดฉีดสภาพคล่อง แม้กระทั่งจีนเองก็เพิ่งจะประกาศปรับลดอัตราเงินสำรองสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ลง 0.5% เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี สำหรับประเทศไทยเองก็เพิ่งจะมีการประกาศลดดอกเบี้ยลง 0.25% เช่นเดียวกัน ทั้งนี้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่แนะนำในปีหน้า คือการลงทุนในหุ้น โดยเน้นที่การลงทุนในหุ้นจีน (H-Share) เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงินเริ่มผ่อนคลาย และปัญหาทางด้านอัตราเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะที่ PE ปีหน้าอยู่ที่ประมาณ 8 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับที่น่าสนใจลงทุนมาก ส่วนตลาดหุ้นไทยปีหน้านับเป็นอีกตลาดที่มีนักลงทุนไม่ควรมองข้าม แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี การขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมบ้าง แต่หลังจากนั้นเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการขยายตัวแข็งแกร่งได้อีกครั้งจากการเร่งใช้จ่ายและการลงทุนเพื่อการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม โดย PE ปีหน้าอยู่แค่ประมาณ 10 เท่า ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์กองทุนรวมของ บลจ.ทิสโก้ ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการลงทุนในหุ้นจีน คือ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Shares อิควิตี้ (TISCO China H-Shares Equity Fund) ซึ่งมีความโดดเด่นอยู่ที่การมีสภาพคล่องสูงสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ และมีนโยบายเน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำของประเทศจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Lyxor ETF China Enterprise (HSCEI) (กองทุนหลัก) ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund) ประเภทกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป มีวัตถุประสงค์สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Hang Seng China Enterprises ทั้งนี้ ผู้สนใจกองทุนดังกล่าวสามารถติดต่อได้ที่ บลจ. ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือที่ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4