ผู้เชี่ยวชาญของเวอร์ทิฟ คาดการณ์ เครือข่ายรอบข้างที่มีขนาด self-sufficient และ self-healing จะเข้าให้บริการรองรับไอโอที (IoT) และ 5G
14 ธันวาคม 2561 – เวอร์ทิฟ (Vertiv) ระบุว่าขอบของเครือข่าย (Network Edge) จะยังคงเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมของศูนย์ข้อมูล ในปี 2562 โดยมุ่งไปที่การออกแบบให้อัจฉริยะมากขึ้น ลดความซับซ้อนของการดำเนินงาน สามารถบริหารจัดการและให้บริการได้จากระยะไกล ซึ่งช่วยลดช่องว่างทางทักษะที่แตกต่างกันได้
ผู้เชี่ยวชาญของเวอร์ทิฟจากทั่วโลก ต่างเห็นพ้องกันว่า ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของขอบเครือข่าย ถือเป็นหนึ่งในห้าของเทรนด์ดาต้า เซ็นเตอร์ ที่ต้องจับตามองในปี 2562
ร็อบ จอห์นสัน, ซีอีโอ เวอร์ทิฟ (Rob Johnson, Vertiv CEO) กล่าวว่า “ปัจจุบัน ส่วนขอบของเครือข่ายมีบทบาทสำคัญต่อศูนย์ข้อมูล และการดำเนินงานของเครือข่ายเพื่อส่งมอบการบริการที่มีความสำคัญต่อผู้บริโภค นับเป็นการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานที่น่าทึ่งไปสู่รูปแบบที่เราคิดไว้เกี่ยวกับการประมวลผลและการจัดการข้อมูล แน่นอนว่ากระบวนการปฏิงานในศูนย์ข้อมูลในปี 2562 จะมุ่งไปที่การพัฒนานวัตกรรมของส่วนขอบของเครือข่ายอย่างแท้จริง”
1. ส่วนขอบของเครือข่ายที่เรียบง่าย: ส่วนขอบของเครือข่ายที่มีความชาญฉลาดขึ้น เรียบง่ายขึ้น และผสมผสานเข้ากับแนวโน้มของอุตสาหกรรมและผู้บริโภคในวงกว้าง รวมทั้งอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (IoT) และเครือข่าย 5G เพื่อขับเคลื่อนระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ใกล้กับผู้ใช้ให้มีประสิทธิภาพและการใช้งานมากยิ่งขึ้น
สำหรับบริษัทส่วนใหญ่ ส่วนขอบของเครือข่าย คือส่วนที่สำคัญที่สุดของระบบนิเวศดิจิทัล ระบบโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะที่มีศักยภาพด้านการเรียนรู้ด้วยตัวมันเองสามารถทำงานควบคู่กับการวิเคราะห์บนระบบคลาวด์ได้จะเป็นพื้นฐานในการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของเราเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์และบริการในส่วนขอบของเครือข่าย
ผลที่ได้คือ ส่วนขอบของเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพและแข็งแกร่งมากขึ้น มีระบบดูแลและปรับเปลี่ยนตัวเองที่มากขึ้น โดยอาศัยการจัดการระบบที่น้อยมาก
มร.อนันท์ ชังกี ประธาน เวอร์ทิฟ ภูมิภาคเอเชียและอินเดีย (Anand Sanghi, President, Asia and India, Vertiv) เปิดเผยว่า ในภูมิภาคเอเชีย ศูนย์ข้อมูลขอบของเครือข่ายได้เกิดขึ้นจริงและองค์กรมากมายได้เห็นคุณค่าของระบบนิเวศของโครงข่ายที่แข็งแรงเป็นเลิศ ทั้งที่ศูนย์กลางและขอบของโครงข่ายเพื่อให้ศูนย์ข้อมูลขององค์กรสามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรได้ในทุกระดับ
ทั้งนี้ เนื่องจากขอบของโครงข่าย (ที่อยู่ใกล้กับลูกค้า) ได้กลายเป็นปัจจัยที่วิกฤติและเป็นปัจจัยเชิงกลยุทธ์ต่อองค์กรต่างๆ ดังนั้น ไม่ใช่เพียงจะมีขอบของโครงข่ายแต่อย่างเดียว แต่จะต้องทำให้ขอบของโครงข่ายปลอดภัย ไม่มีความเสี่ยง และใช้ประโยชน์ได้สูงสุด โดยลงทุนในโครงสร้างและอุปทานที่ถูกต้องเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
2. การปฏิวัติแรงงาน: แรงงานที่มีอายุงานมากขึ้นจนใกล้เกษียณและขาดการฝึกอบรมด้านศูนย์ข้อมูลและวิวัฒนาการของส่วนขอบของเครือข่ายกำลังก่อให้เกิดความท้าทายด้านบุคลากรสำหรับศูนย์ข้อมูลทั่วโลก ซึ่งจะทำให้เกิดการทำงานแบบขนานในปี 2562 โดยเบื้องต้นองค์กรจะเริ่มเปลี่ยนวิธีการจ้างพนักงานศูนย์ข้อมูล จากโปรแกรมการฝึกอบรมแบบดั้งเดิม ไปสู่คำแนะนำการใช้งานเฉพาะทางที่มีความคล่องตัวขึ้น ใช้การเรียนการสอนซึ่งมุ่งไปที่ส่วนขอบของเครือข่ายและมีการฝึกอบรมเพิ่มเติมในบริษัท ประการที่สอง ธุรกิจจะหันไปใช้ระบบอัจฉริยะและการเรียนรู้ของเครื่องจักร (machine learning) เพื่อให้ทำงานได้ง่ายขึ้น สงวนองค์ความรู้ขององค์กร และช่วยให้การบริการและการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. ระบบบน UPS ที่ฉลาดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น: แบตเตอรี่ทางเลือกใหม่ๆ สามารถนำมาใช้ร่วมกับ UPS และเชื่อมต่อกับแหล่งไฟหลัก ในไม่ช้าเราจะเห็นการจัดการโหลด (Load) และการใช้พลังงานได้อย่างเหมาะสม แม้ในช่วงโหลดสูงสุด ในที่สุดระบบพลังงานสำรองใน UPS เอง จะช่วยให้การไฟฟ้าสามารถใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังไฟฟ้าได้ดีขึ้น ขณะที่ระบบพลังงานสำรองที่ไม่ได้ถูกใช้จะถูกนำมาใช้เป็นแหล่งสร้างรายได้ให้แก่องค์กร ส่วนระบบ UPS ที่ฉลาดขึ้นจะกลับกลายมาเป็น Application หลัก
4. การมุ่งเข้าสู่มาตรฐาน: การหาความเป็นมาตรฐานของศูนย์ข้อมูลยังเป็นเรื่องยาก แม้ขณะนี้ศูนย์ข้อมูลจะเข้าสู่รูปแบบการสร้างแบบ Modular และถูกสร้างที่โรงงานก่อนนำไปติดตั้งจริงในศูนย์ข้อมูล อย่างไรก็ตาม มีสองสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องพิจารณา สิ่งแรกคือ มาตรฐานของแต่ละอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูล สองคือ มาตรฐานในการสร้างศูนย์ข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งประการหลังนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องมีความชัดเจนด้านสถาปัตยกรรมและชนิดของอุปกรณ์ที่ต้องใช้สำหรับแต่ละพื้นที่ที่มีความแตกต่างกัน เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างง่ายและประหยัดต้นทุน ทั้งสองกรณีดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนของอุปกรณ์ เพื่อให้สร้างศูนย์ข้อมูลได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว และง่ายต่อการให้บริการและการบำรุงรักษา
5. ตัวประมวลผลที่ใช้พลังงานสูงและระบบให้ความเย็นที่ก้าวหน้า: ตัวประมวลผลจะทำงานมากขึ้นและเร็วขึ้นสำหรับ Advance Application เช่น การจดจำใบหน้า การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ตัวประมวลผลดังกล่าวต้องการการจัดการอุณหภูมิที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น การชุบ chips ประมวลผลด้วยของเหลวเพื่อให้ระบายความร้อนได้ดี วิธีนี้ใช้อย่างแพร่หลาย สำหรับอุปกรณ์ High-performance computing ผลประโยชน์ที่ได้คือ ทำให้เซิร์ฟเวอร์ทำงานได้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในสิ่งแวดล้อมที่เป็น High Computing และช่วยลดต้นทุนจากการลดพลังงานของระบบให้ความเย็น นวัตกรรมอีกประเภทหนึ่งในการจัดการอุตสาหกรรมในศูนย์ข้อมูลคือการใช้ความเย็นจากธรรมชาติเข้าไปจัดการอุณหภูมิในศูนย์ข้อมูลซึ่งกำลังเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้น
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทรนด์หรือโซลูชั่นศูนย์ข้อมูลจากเวอร์ทิฟ โปรดเยี่ยมชม VertivCo.com
เกี่ยวกับเวอร์ทิฟ
เวอร์ทิฟ รวบรวมฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การวิเคราะห์ และบริการที่ต่อเนื่องเข้าด้วยกันเพื่อให้แน่ใจว่าแอพพลิเคชั่นที่สำคัญของลูกค้าจะทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เหมาะสมและเติบโตไปพร้อมกับความต้องการทางธุรกิจของพวกเขา ปัจจุบัน เวอร์ทิฟ ช่วยแก้ปัญหาความท้าทายที่สำคัญที่สุดของศูนย์ข้อมูล เครือข่ายการสื่อสาร และสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้าและอุตสาหกรรม โดยใช้โซลูชั่นด้านการจัดการพลังงาน ความร้อน โครงสร้างพื้นฐานด้านไอที และบริการที่ขยายจากระบบคลาวด์ไปยังเครือข่ายรอบข้าง สำนักงานใหญ่ของเวอร์ทิฟตั้งอยู่ที่เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา มีพนักงานประมาณ 20,000 คน และทำธุรกิจในกว่า 130 ประเทศ