เร่งให้ความรู้โรคมะเร็งปากมดลูกควบคู่กับวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันทั้งกายใจให้เด็กไทย

0
976
image_pdfimage_printPrint

 

 

 

 

 

 

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านสาธารณสุขทั่วประเทศ เดินหน้าอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูก หลังจากภาครัฐได้ดำเนินการฉีดวัคซีน HPV ป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกให้กับเด็กหญิงไทย เพื่อป้องกันโรคร้ายที่คร่าชีวิตหญิงไทยมากเป็นอันดับสอง เน้นสร้างภูมิคุ้มกันทางด้านจิตใจและสังคมควบคู่ไปด้วยจะเป็นเกราะกำบังที่ดีที่สุด

โรงพยาบาลแก้งคร้อ และมูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน ได้จัดการบรรยายพิเศษทางวิชาการความร่วมมือภาคีสุขภาพด้านการป้องกันโรค “สร้างภูมิเสริมรักษ์” ณ ห้องประชุมโรงพยาบาลแก้งคร้อ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ แก่บุคลากรทางด้านสาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม ) ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้บริหารสถานศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงและเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับสองในหญิงไทย โดยมี นพ.วิระ ตติยานุพันธ์วงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแก้งคร้อ และนพ. มานิต ธีระตันติกานนท์ ประธานมูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน  เป็นประธานในพิธีเปิด และการบรรยายวิชาการ โดย รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาการเด็กและครอบครัว

นพ.วิระ ตติยานุพันธ์วงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแก้งคร้อ เปิดเผยว่า โรงพยาบาลแก้งคร้อเห็นถึงความสำคัญของการป้องกันมะเร็งปากมดลูก ซึ่งรัฐบาลให้โอกาสกับเด็กหญิงไทยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกแล้ว ทางโรงพยาบาลแก้งคร้อได้จัดการอบรมบุคลากรทางด้านสาธารณสุข ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อสม. ตัวแทนจากโรงเรียน และโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งดูแลในเรื่องของวัยรุ่น รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ กุมารแพทย์ สูติแพทย์ซึ่งดูแลทางด้านนี้ รวมไปถึงผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นายก อบต. หัวหน้าส่วนราชการต่างๆ และสิ่งสำคัญคือผู้บริหารสถานศึกษา และครูที่ดูแลวัยรุ่น เพื่อให้เห็นถึงผลดี และความสำคัญของการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่เป็นวัคซีนตัวใหม่

“ในอนาคตการให้ความรู้เกี่ยวกับวัคซีนมะเร็งปากมดลูก เราจะจัดอบรมแบบนี้เป็นระยะๆ และในแต่ละโรงพยาบาลที่ได้เข้ามาอบรมในวันนี้ จะไปจัดอบรมให้ความรู้ต่อ สถานศึกษาก็ไปกระจายความรู้ต่อ และหน่วยงานอื่นๆ ก็ไปกระจายความรู้ต่อ ผมเชื่อว่าในระยะเวลาหนึ่งที่เราจัดอบรมให้ความรู้เรื่องมะเร็งปากมดลูก วิธีการป้องกันมะเร็งปากมดลูกก็จะกระจายออกไป” นพ.วิระ กล่าว

นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ ประธานมูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน กล่าวว่า มะเร็งปากมดลูกติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งผู้หญิงอาจจะไม่ได้รู้ตัวว่าได้รับเชื้อมาแล้ว วัคซีนเอชพีวี สามารถเริ่มให้ได้ตั้งแต่อายุ 9-15 ปี ถ้าเทียบกับอายุเด็กหญิงในประเทศไทย เท่ากับกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 5 ซึ่งถือเป็นวัยที่เหมาะสมที่สุดในการได้รับวัคซีนเพราะเป็นวัยที่ยังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเพศมากนัก หากมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุยังน้อย โอกาสเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกก็มีมากขึ้น วัคซีนถือว่าเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันโรค   ดังนั้นจุดประสงค์ของมูลนิธิฯ จะช่วยเผยแพร่ความรู้ ความสำคัญของวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ให้กับประชาชนทางช่องทางที่หลากหลาย และอีกด้านหนึ่งจะเป็นแรงผลักดันในภาคประชาชนไปสู่รัฐบาล ที่มุ่งมั่นให้ได้มีวัคซีนป้องกันโรคที่สมควรจะใช้ในอนาคต บางครั้งประชาชน อาจยังไม่เข้าใจถึงประโยชน์ของการฉีดวัคซีนเพราะไม่ได้เห็นผลในทันที  ยกตัวอย่างเช่นวัคซีน HPV ที่ฉีดให้กับเด็กหญิงอายุ 10 ปีในวันนี้ ประโยชน์จะเกิดขึ้นในอีก 20-30 ปีข้างหน้า ”นพ.มานิต กล่าว

รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาการเด็กและครอบครัว กล่าวว่า “เชื้อมะเร็งปากมดลูกมีหลายสายพันธุ์ ส่วนที่เราพยายามให้ครอบคลุมมากที่สุด คือส่วนที่มีความรุนแรงมากและพบบ่อยมากที่สุดอย่าง Type 16, Type 18 ยังไม่มีใครที่สามารถผลิตวัคซีนป้องกันทุกสายพันธุ์ได้ เราไม่รู้ว่าเชื้อจะแปลงสภาพไปและวัคซีนจะพัฒนาให้ทันกับเชื้อโรคด้วยหรือเปล่า เพราะฉะนั้นที่ดีที่สุดต้องกลับมาที่ตัวเอง เราต้องรู้จักรักษาความสะอาด ดูแลสุขภาวะทางเพศ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกเป็นการป้องกันสร้างเสริมภูมิคุ้มกันทางด้านร่างกาย แต่เราต้องสร้างภูมิคุ้มกันทางด้านจิตใจ และสังคมให้กับตัวเด็กด้วย หน้าที่ของการพัฒนาวัยรุ่นไม่ได้พัฒนาแค่ทางด้านร่างกายปกป้องแค่โรคภัยไข้เจ็บ แต่หน้าที่ของผู้ใหญ่ทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดวัยรุ่น ต้องพัฒนาทักษะรู้ คิด จิตสำนึก ทั้งทางด้านจิตใจ สังคมและอารมณ์ ให้กับเขาด้วย”

“สิ่งที่พ่อแม่จะต้องพัฒนาทำควบคู่กันไป คือจิตสำนึก นั่นคือทุนชีวิตของเด็ก หมายถึงทักษะชีวิต บวกกับจิตสำนึกของตนเอง และจิตสำนึกในการอยู่ร่วมในบ้าน ในชุมชน ในโรงเรียน ในการคบเพื่อน เมื่อไรก็ตามที่เด็กมีกลไกป้องกันทางร่างกาย และได้ทั้งด้านการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันทางด้านจิตใจและสังคม มันจะกลายเป็นเกราะกำบังที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก” รศ.นพ.สุริยเดว กล่าว