แม้จะผ่านมาเกือบ 30 ปีแล้วที่โลดแล่นในวงการบันเทิง แต่คาแรกเตอร์ความเป็น “ตัวพ่อ” แห่งแฟชั่นไอคอนก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่ยุคเสื้อฮู้ด จนข้ามสู่ปี 2020 ก็ยังไว้ซึ่งมาตรฐานแห่งความเป็นผู้นำเทรนด์แฟชั่นยังคงเหมือนเดิม
แทบเรียกได้ว่าไม่เคยมีอะไรที่สั่นคลอนไปได้เลย สำหรับ “เจตริน วรรธนะสิน” หรือ “พี่เจ” ของใครหลายต่อหลายคน
นอกจากความสามารถที่ทั้งร้อง เต้น เล่นละคร โปรดิวเซอร์ ล่าสุดยังรับหน้าที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของโลกให้กับแว่นตาฟังก์ชันนัลระดับโลก ic! berlin ที่ไม่ได้จู่ๆ ก็ได้รับคัดเลือก ทว่าเกิดขึ้นจากตัวตนของเขาเองที่เป็นแฟชั่นไอคอนนิกมาโดยตลอด และในครั้งนี้เจตรินจะมาเผยถึงเคล็ดลับของไอคอนแห่งแฟชั่นที่ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นได้เช่นกัน
1. Mood and Feel ความมีสไตล์เป็นของตัวเอง
สิ่งแรกที่ทำให้ทุกคนจดจำเจตรินไ้ด้ ก็คือ “สไตล์การแต่งตัว” ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของเขาอย่างชัดเจน ที่ไม่ว่าเทรนด์แฟชั่นจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน เขาก็สามารถที่จะ mix & match
แฟชั่นในช่วงเวลานั้นๆ ให้เข้ากับตัวเอง และยังดูคูลอยู่เสมอ
“ผมไม่ได้ยึดติดกับแฟชันที่มาแล้วไป ค่อนข้างที่จะแต่งในแนวทางที่ตัวเองชอบมากกว่าตามเทรนด์ ผมจะมีแนวของผม เป็นตัวของผมเอง คือ จะดูเป็นช่วง ๆ อย่างหน้าร้อน เราก็จะมีเสื้อเชิ้ตแขนสั้น หรือเสื้อแขนยาวก็จะพับเสื้อ สวมกางเกงขาสั้น ช่วงนี้ชอบกางเกงยีนรัดหน่อย เสื้อยืดหลวมนิดนึง เพราะขี่มอเตอร์ไซค์ ใส่หมวกกันน็อคออกไปขี่รถจะได้คล่องตัว สิ่งสำคัญคือ ผมจะแต่งตัวตามสภาพที่เราจะต้องไปเจอ และตามฟีลลิงที่เรารู้สึกวันนั้น”หากเราสามารถปรับการแต่งตัวให้เข้ากับแนวทางของตัวเอง นั่นจะช่วยให้เรา โดยที่ไม่ต้องวิ่งตามทุกเทรนด์ไปเสียทีเดียว นั่นจะทำให้เราสามารถปรับลุคไปได้ไม่ว่าจะสวมเสื้อเชิ้ต เสื้อยืด หรือสูทก็ตาม
2. แว่นตา + นาฬิกา = พร็อปที่ขาดไม่ได้
แว่นตาและนาฬิกาเรียกว่า “ของมันต้องมี” เป็นพร็อปที่ควรมีติดตัวในทุกวัน สำหรับเจ-เจตริน ก็เช่นเดียวกัน ภาพจำของแฟนคลับ และคนทั่วไปคือ แว่นตากับนาฬิกา ไม่ว่าจะขึ้นเวทีคอนเสิร์ต หรือออกงานต่างๆ ไม่ใช่แค่เป็นแฟชันเครื่องประดับ แต่เป็นสิ่งจำเป็นติดตัวไปเสียแล้ว
“พร็อปที่ขาดไม่ได้ในทุกวันของผม ก็คือ นาฬิกากับแว่นตา ผม เป็นคนใส่นาฬิกาข้อมือทางฝั่งขวาตลอด ถ้าออกบ้านถ้าไม่ได้หยิบมาจะรู้สึกเลยว่าเราลืมอะไรไป และแว่นตาก็เป็นสิ่งที่ต้องมีทุกวัน ตัวผมเป็นคนที่ติดแว่นตามาก ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตไม่เคยถอดเลย ด้วยเราเล่นกีฬาทางน้ำเยอะ ผมเล่นเจ็ตสกีมาตั้งแต่อายุ 20 ปี หมอจะแนะนำว่า ไม่อยากให้ตาปะทะลมมาก แล้วก็ไม่ให้ปะทะกับแสงตอนอยู่บนเวทีมาก ผมเลยติดการใส่แว่นตา อยู่บนเวทีก็ใส่แว่นตาดำตลอด”
“ซึ่งแว่นตาที่ผมเลือกใส่นั้นจะต้องตอบรับกับไลฟ์สไตล์ และการใช้งาน แว่นตาส่วนใหญ่ผมใช้ขึ้นคอนเสิร์ตบ่อย ๆ จะเป็นแว่นตาที่มีน้ำหนักเบา เข้ากับรูปหน้าของเรา ที่สำคัญ ผมจะเลือกที่ความทนทาน แว่นขึ้นคอนเสิร์ตเราต้องเลือกให้ดีเพราะเดือนหนึ่ง ๆ เราขึ้นคอนเสิร์ตถึง 20-30 งาน เรียกได้ว่าใช้งานแว่นหนักมาก ก็เลือกต้องเลือกที่ทน ความเบา เราขึ้นเวทีต้องมูฟเยอะกว่าปกติ ต้องกระโดด ต้องหมุน อาจจะมีตก กระแทก หรือเดินไปเหยียบจนขาแว่นหักก็มี ดังนั้น เวลาที่เลือกแว่นตาก็จะพิถีพิถันหน่อย
อย่างแว่นที่ใส่อยู่เป็นประจำตอนนี้ก็ตอบโจทย์ได้ดีมาก ตัวผมเองใส่แว่นตา ic! berlin มาก่อนที่จะได้เลือกเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อีก เพราะกรอบแว่นนั้นทนทานอาจจะดูเหมือนบาง แต่เวลาที่กระแทก หรือกดทับก็สามารถเอามาต่อประกอบคืนได้เอง อีกทั้งยังมีความเบาและเข้ากับรูปหน้าของผม ที่สำคัญดีไซน์ของแว่นสามารถใส่ได้กันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”
3. แรงบันดาลใจของแฟชันไม่จำกัดหญิงหรือชาย
ความคูลในสไตล์แฟชันของเจ-เจตรินไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวของเขาเอง หากแต่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรอบข้างต่างก็พร้อมที่จะเป็นแฟชั่นไอคอนนิกในแบบของตัวเองกันทั้งบ้าน
“ทุกคนต่างมีคาแรกเตอร์โดดเด่นในแบบของตัวเอง อย่างลูก ๆ ของผมแต่ละคนก็มีบุคลิกเป็นของตัวเองชัดเจน เจ้านายก็จะสไตล์แต่งตัวง่ายๆ ใส่เสื้อยืดหลวม ๆ กางเกงวอร์มรัดขา รองเท้าผ้าใบ และใส่หมวก ส่วนเจ้าขุนจะชอบแนวใส่เชิ้ต และต้องสวมเข็มขัด คนเล็กเจ้าสมุทรก็จะแต่งตามวัยของเขา ส่วนปิ่น (เก็จมณี วรรธนะสิน) ผู้หญิงคนเดียวของบ้าน เขาจะคล้ายผม ไม่ยึดติดแฟชันว่าจะต้องเปลี่ยนไปตามซีซัน”
“ในมุมมองของผม ผู้หญิงและผู้ชายสามารถเลือกแฟชันที่เข้ากับบุคลิกของตัวเองได้ และแฟชันปัจจุบันมีการออกแบบให้เป็น unisex ที่ทุกคนสามารถสวมใส่ได้เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หรือเครื่องประดับอย่างแว่นตา”
ในยุคที่ความเป็น unisex เข้ามาอยู่ในแฟชัน และไลฟ์สไตล์ของเรา ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้หญิงใส่กางเกงยีนส์ทรงบอย หรือสวมแว่นตาในแบบเดียวกับผู้ชาย แต่ก็ยังคงไว้ด้วยความเป็นเพศหญิงเช่นเดิม