“สิว” เป็นโรคที่พบกันได้บ่อยๆที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมไขมันและรูขุมขนบริเวณที่มักพบบ่อยๆ คือ บริเวณใบหน้าหน้าอกและหลัง สิวเกิดได้จากปัจจัยหลายอย่าง เช่นการใช้เครื่องสำอางบางชนิดที่มีส่วนผสมของสารกระตุ้นสิว ( comedogenic) การใช้ยาเช่น steroids (สเตียรอยด์) , lithium (ลิเทียม), ยากันชักและ iodides (ไอโอไดด์) โรคของต่อมไร้ท่อที่เกี่ยวข้องกับการสร้างฮอร์โมนเพศผิดปกติการตั้งครรภ์การเสียดสีและระคายเคืองของผิวหนังสิวเป็นโรคที่เกิดจากปัจจัยร่วมหลากหลายโดยมีปัจจัยหลักสำคัญคือ พันธุกรรม และปัจจัยอีกสี่อย่างที่มีผลทำให้เป็นสิว คือ
1. ภาวะผิวหนังอักเสบจากการหลั่งสารตัวกลางก่อการอักเสบ ไซโตไคน์ (cytokines) ในบริเวณรอบๆต่อมไขมัน
2. มีการสร้างเคราตินมากเกินร่วมกับผิวหนังหลุดลอกลดลงทำให้รูขุมขนอุดตัน (microcomedone)
3. ภาวะสร้างไขผิวหนัง (sebum) ที่ถูกสร้างมากเกินไป
4. มีการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียที่ชื่อว่า Propionibacterium acnes หรือที่เรียกง่ายๆกันว่า p.acnes
สิ่งที่คนเป็นสิว ช้ำใจหนักกว่าการเป็นสิว คือ หลังจากสิวหายแล้ว เกิดเป็น “แผลเป็นหลุมสิว” หรือที่เราคุ้นเคยได้ยินกันบ่อยๆ คือคำว่า “หลุมสิว” เพราะหลุมสิวเกิดจาก สิวอักเสบที่มีเชื้อแบคทีเรียอยู่ใต้ผิว การอักเสบนั้นจะก่อให้เกิดเอ็นไซม์ ที่ทำร้ายผิวโดยทำให้คอลลาเจนและเนื้อเยื่อโดยรอบถูกทำลาย ถ้าสิวเม็ดไม่ใหญ่มาก ก็จะทิ้งแผลเป็นขนาดเล็ก ถ้าสิวเม็ดใหญ่โดยเฉพาะสิวหัวช้างก็จะลงลึกถึงชั้นผิวหนังชั้นในเกิดเป็นหลุมลึกและพังผืดตามมา โดยที่ปัญหานี้ ยากกว่าการ “รักษาสิว” อีกด้วย ดังนั้นเรามักบอกทุกคนเสมอว่า หากเป็นสิวตั้งแต่แรกๆ ที่มีปัญหาตั้งแต่น้อยๆ หรือมีสิวอักเสบตั้งแต่ 5 เม็ดขึ้นไป ให้รีบเข้ามาปรึกษาคุณหมอ เพื่อที่จะได้เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นหลุมสิวนั่นเอง
ชนิดของแผลเป็นหลุมสิวแบ่งออกได้ดังต่อไปนี้
1. Ice Pick Scars หรือ หลุมสิวลึก รูปร่างเหมือนโคนหงายโดยด้านบนมักมีขนาดน้อยกว่า 2 มิลลิเมตรมีความแคบและลึกลงไปในบริเวณชั้นหนังแท้หรือชั้นไขมันหลุมสิวประเภทนี้เป็นหลุมสิวที่ลึกและปากแคบทำให้การรักษาหลุมสิวประเภทนี้ทำได้ยากและไม่ค่อยตอบสนองกับการรักษาสักเท่าไหร่
2. Boxcar Scars มีความกว้างมากกว่าความลึก มีรูปร่างกลมหรือเป็นรูปไข่หรืออาจจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็ได้เป็นหลุมสิวที่มีขอบเขตชัดเจน อาจจะะตื้น 0.1- 0.5 มม.หรืออาจจะลึกเกิน 0.5 มม.ก็ได้
3. Rolling Scars หรือ หลุมสิวตื้น ลักษณะผิวด้านบนจะยังดูเป็นผิวราบปกติบริเวณปากหลุมจะมีความกว้างประมาณ 4-5มม.ลักษณะของหลุมสิวประเภทนี้เกิดจากการดึงรั้งของเส้นใยผังผืดที่อยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังมีลักษณะบุ๋มลงไปด้านล่างเกิดเป็นหลุมสิวขึ้นมา
วิธีการรักษาหลุมสิวเพื่อผิวเรียบเนียนขึ้น
การรักษาแผลเป็นจากสิวด้วยเลเซอร์ (Laser Treatment for Acne Scar) แบ่งเป็นกลุ่มที่มีผลต่อชั้นผิวหนังด้านบนAblative Laser เป็นเลเซอร์กลุ่มที่มีการส่งพลังงานผ่านเข้าไปตั้งแต่ชั้นผิวหนังด้านบนลงไปจนถึงชั้นผิวหนังแท้กลุ่มนี้ถือว่าเป็นกลุ่มเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการรักษาหลุมสิวความร้อนจากพลังงานจากเลเซอร์ทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาและชนิดที่ผ่านลงไปสู่ชั้นผิวหนังแท้โดยที่ไม่มีผลต่อชั้นหนังผิวหนังด้านบนเลย Nonablative Laser เป็นเลเซอร์ที่ส่งผ่านพลังงานไปที่ชั้นใต้ผิวหนังซึ่งจะไม่มีผลต่อผิวด้านบนซึ่งเลเซอร์กลุ่มนี้จะได้ผลดีในกลุ่มที่เป็นBoxcar Scarที่ตื้นๆหรือRolling Scar แต่ว่าจะไม่ค่อยได้ผลในกลุ่ม Icepick Scar หลังการรักษาจะได้ผลดีพอประมาณและต้องใช้การรักษาอย่างน้อย4-6 ครั้งเพื่อจะได้เห็นผลของการรักษาที่ชัดเจนและในปัจจุบันยังมีกลุ่มของเลเซอร์ที่เรียกว่า Fractional Laser เป็นกลุ่มที่แบ่งการส่งพลังงานเป็นจุดเล็กๆโดยมีผิวหนังปกติล้อมรอบพื้นที่ที่รักษาด้วยเลเซอร์เลเซอร์ทั้งสามแบบมีผลดีและผลข้างเคียงและมีประสิทธิภาพแตกต่างกัน
การรักษาแผลเป็นจากสิวแบบ RF (Radio Frequency Treatments) หรือ การรักษาหลุมสิวด้วยการใช้คลื่นความถี่วิทยุ คือการส่งผ่านพลังงานลงไปใต้ชั้นผิวหนัง พลังงานเหล่านี้คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่จะทำให้โมเลกุลระดับเซลเกิดการสั่น และเปลี่ยนพลังงานเป็นความร้อนใต้ผิวหนัง เพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ เครื่องมือ RF แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆด้วยกันคือ รุ่นบุกเบิกของเครื่องมือในกลุ่มนี้คือ
โมโนโพล่าห์ (Monopolar) ซึ่งจะใช้หัว อิเลคโทรด (electrode) ในการทำการรักษาซึ่งคนไข้จะมีแผ่นฉนวน (grounding) ติดอยู่เพื่อให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ออกจากเครื่องอิเล็กโทรด ผ่านเข้าไปในบริเวณที่ทำการรักษา และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าผ่านลงสู่แผ่นฉนวน เป็นการควบคุมพลังงานให้อยู่ในบริเวณที่เราต้องการ ข้อดีของเครื่องมือชนิดนี้คือสามารถส่งผ่านพลังงานลงไปได้ลึกแต่ว่าข้อเสียคือคนไข้อาจจะรู้สึกเจ็บในระหว่างที่ทำการรักษาทำให้คนไข้ส่วนใหญ่จะกังวลในเรื่องนี้
ไบโพล่าห์ (Bipolar) เป็นทางเลือกที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อที่สามารถจะส่งพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าลงไปใต้ชั้นผิวหนังได้อย่างแม่นยำเฉพาะจุด คือพลังงานจะผ่านจากอิเล็กโทรดหนึ่งไปยังอิเล็กโทรดหนึ่ง คลื่นกระแสไฟฟ้าลงไปในบริเวณที่ควบคุมได้ การรักษาแบบ Bipolar RF คลื่นกระแสไฟฟ้าจึงลงไปตื้นกว่า คนไข้ก็จะรู้สึกเจ็บน้อยกว่า และใช้พลังงานของเครื่องน้อยกว่า
Fractional Microneedling RF การใช้เข็มเล็กๆเป็นอิเล็กโทรดส่งพลังงานผ่านชั้นผิวหนังลงไป ซึ่งแต่ละอิเล็กโทรดจะทำให้เกิดเป็นโซนให้ความร้อนลงไปใต้ผิวหนังล้อมรอบด้วยบริเวณที่ไม่ได้ทำการรักษา ซึ่งการรักษาที่เป็น Fractional จะสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้กระบวนการหายของแผลเป็นไปได้อย่างรวดเร็วเพราะว่าบริเวณผิวรอบๆ ที่ไม่รับพลังงานจากตัว RF ไปทำหน้าที่สร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน ให้กับบริเวณที่ทำการรักษาโดยรอบ
นอกจากนั้นจะเป็นกลุ่มการรักษาแบบย่อย เช่น การใช้ RF รักษาร่วมกับเลเซอร์ ซึ่งในบางกรณีพบว่า การรักษาด้วยเลเซอร์ก่อนที่จะทำ RF จะทำให้ RF ลงไปได้ลึกขึ้น เจ็บน้อยลง และก็จะไปลดพลังงาน RF ที่จำเป็นจะต้องใช้ เมื่อลดพลังงานก็ไม่ต้องใช้พลังงานสูงทำให้ลดผลข้างเคียงของการใช้พลังงานความร้อนสูงลงได้
แต่อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาหลุมสิวที่ดีที่สุด คือการป้องกันไม่ให้เกิดสิวอักเสบ ที่เป็นสาเหตุสำคัญมากๆในการเกิดหลุมสิวปัญหาผิวไม่เรียบเนียน แต่ถ้าหากป้องกันแล้ว ยังเกิดสิวอักเสบขึ้นจนทำให้เกิดแผลเป็นหลุมสิวนั้น ก็แนะนำให้รักษาตั้งแต่เริ่มเป็นใหม่ๆ เพราะพังผืดโดยรอบจะยังไม่แข็งมาก การรักษาจะได้ผลดีกว่าที่ทิ้งไว้จนกลายเป็นแผลเก่า
BSL เปิดให้บริการ 3 สาขา
สีลม โทร. 02-235-8858, 09-8289-7805
สุขมวิท โทร.02-052-4605, 06-3923-6862
สามย่าน โทร.02-235-2323
ช่องทางการติดต่อ
Website : www.ศูนย์เลเซอร์ผิวหนัง.com
FB : www.facebook.com/bslclinic/
Line : @bslclinic
IG : bsl_clinic
Twitter : BSLBANGKOK
Blockdit: BSL Clinic
Youtube Channel : BSL CLINIC