สุภาพสตรีปวดประจำเดือนรุนแรง เสี่ยงสารพัดโรค
สุภาพสตรีปวดประจำเดือนรุนแรง เสี่ยงสารพัดโรค
ปัญหาที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ มักพบเป็นประจำในทุกๆ เดือน คือการปวดท้องประจำเดือน พบว่ามีผู้หญิงจำนวนหนึ่งต้องลางาน หรือลาเรียน เนื่องจากมีอาการปวดท้องประจำเดือน โดยเฉลี่ยผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์มักลาป่วย 1-4 วันต่อเดือน เนื่องจากมีอาการปวดประจำเดือนมากจนไม่สามารถมาเรียนหรือทำงานได้
นายแพทย์ สุวันชัย ชัยรัชนีบูลย์ สูตินรีแพทย์ด้านการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช โรงพยาบาลเปาโล กล่าวว่า “อาการปวดประจำเดือน คือ อาการปวดบีบเป็นพัก ๆ บริเวณท้องน้อย อาจร้าวไปถึงบริเวณหลัง บริเวณก้น หรือบริเวณต้นขาซึ่งมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หน้ามืด เป็นลมร่วมด้วยได้
การปวดประจำเดือนมีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ (1.) ปวดแบบไม่เป็นโรค จะปวดรอบเดือนใน1-2 วันแรก ของรอบเดือนเท่านั้น และสามารถทนปวดได้ ไม่ต้องถึงขั้นต้องรับประทานยา ไม่รบกวนชีวิตประจำวัน หรือการงานการเรียนยังคงไปไหนมาไหนได้ ลักษณะเช่นนี้ มีสาเหตุเกิดจากการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก เพื่อไม่ให้รอบเดือนมามากจนทำให้เกิดภาวะตกเลือด (2).ปวดแบบเป็นโรค จะปวดท้องประจำเดือนมากจนต้องรับประทานยาแก้ปวด บางรายปวดท้องหลายวันก่อนมีประจำเดือน ความปวดมากขึ้นเมื่อมีประจำเดือนและอาจปวดมากต่อเนื่องไปหลังจากประจำเดือนหมด สังเกตได้จากการเพิ่มปริมาณในการรับประทานยาระงับ เช่น พาราเซตามอล 2 เม็ด ยังไม่บรรเทา
จากการสำรวจพบว่าบางรายถึงขั้นเพิ่มปริมาณเป็น 4 เม็ด หรือเปลี่ยนมารับประทานยาที่ แรงขึ้น และอาการปวดก็จะเพิ่มช่วงเวลาขึ้น จากที่เคยปวด 2-3วัน ก็ขยับขึ้นมาเป็นตลอดช่วงที่มีประจำเดือน ซึ่งอาการเช่นนี้ สามารถสันนิฐานได้หลายโรค ได้แก่
1. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือ ช็อกโกแลตซีสต์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย
2. พังผืดในช่องท้อง
3. เนื้องอกมดลูก
4. ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในตัวมดลูก
5. ความผิดปกติแต่กำเนิดของช่องทางคลอด หรือปากมดลูก
6. ภาวการณ์ติดเชื้ออักเสบในอุ้งเชิงกราน
“สำหรับการรักษาถ้าหากมีอาการปวดท้องประจำเดือนไม่มากนัก อาจรักษาเริ่มแรกด้วยการรับประทานยาระงับปวดทั่วไป นอกจากนี้ ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยลดอาการปวดได้ อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่าตัวเองมีอาการปวดแบบเป็นโรค ควรมาพบแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุและให้การรักษาต่อไป สิ่งสำคัญคือ อย่ากลัว หรือชะล่าใจต่อการเข้ามารับการตรวจรักษา เพราะโรคที่ซ่อนมากับอาการปวดประจำเดือนนั้นสามารถรักษาให้หายได้”
ขอขอบคุณ : นายแพทย์ สุวันชัย ชัยรัชนีบูลย์ สูตินรีแพทย์ด้านการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช โรงพยาบาลเปาโล