1

สถาบันวัคซีนแห่งชาติฯชี้!! การขยายอายุบริการให้วัคซีนเอชพีวีในเยาวชนไทยมีประโยชน์

สถาบันวัคซีนแห่งชาติฯชี้!! การขยายอายุการให้บริการวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือเอชพีวีจากเด็กนักเรียนหญิงชั้นป.5 เพียงกลุ่มเดียว เป็นเยาวชนหญิงอายุระหว่าง 12 – 18 ปี (ป.6 – ม.6) ที่อยู่นอกเป้าหมายของการให้บริการวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ จะมีประโยชน์ ช่วยลดภาระมะเร็งปากมดลูกของประเทศได้เร็วขึ้น 8 ปี ป้องกันผู้ป่วยเพิ่มได้อีกกว่า 22,000 ราย และลดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคได้อย่างมหาศาล
ดร.นพ.จรุง เมืองชนะ ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (สวช.) กล่าวว่า “มะเร็งปากมดลูก” เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 ในหญิงไทยรองจากมะเร็งเต้านม เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยมีไวรัสสายพันธุ์ 16 และ 18 เป็นสาเหตุหลักถึงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 โดยพบว่าในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ประมาณปีละ 6,500 ราย หรือวันละ 542 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกประมาณปีละ 2,000-4,000 รายหรือวันละ 6-12 ราย การฉีดวัคซีนเอชพีวีให้แก่เด็กหญิงไทยควบคู่ไปกับการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเมื่ออายุ 30-60 ปี จะทำให้สามารถป้องกันการเกิดโรคได้กว่า 2ใน 3 นับเป็นการป้องกันไม่ให้เด็กที่จะเติบโตไปในอนาคตต้องมีความเสี่ยงหรือลดการป่วย การตายจากโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งจะมีผลกระทบต่อชีวิตจิตใจ ความเป็นอยู่ของผู้ป่วยและครอบครัว รวมทั้งความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ไม่อาจคาดประมาณเป็นจำนวนเงินได้
คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ภายใต้คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ได้พิจารณาให้บรรจุวัคซีนเอชพีวีในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศไทย เมื่อปี 2554 และกระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มให้บริการวัคซีนเอชพีวีในโรงเรียนแก่เด็กหญิงไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยไม่คิดมูลค่า ตั้งแต่เปิดภาคการศึกษาปี 2560 ซึ่งเด็กหญิง ป.5 ในประเทศไทย เป็นอายุที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากร้อยละ 97 ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ และยังเป็นวิธีการที่เหมาะสม เพราะการให้บริการฉีดวัคซีนในโรงเรียนส่งผลให้อัตราความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนครบทั้งสองเข็มสูง แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณ เด็กหญิงไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จึงเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ได้รับบริการฉีดวัคซีนเอชพีวีฟรี และคาดว่าอีกกว่า 30 ปี จะเริ่มเห็นการลดลงของอุบัติการณ์มะเร็งปากมดลูกอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงยังคงมีเยาวชนไทยจำนวนมากที่อยู่นอกเป้าหมายของบริการวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ และเป็นผู้ที่ยังมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปากมดลูก
ดร.นพ.จรุง กล่าวต่อไปว่า การประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา สถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้เสนอ “ทางเลือกการขยายการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกในเยาวชนไทย” ( HPV vaccine catch-up ) เพื่อให้คณะอนุกรรมการฯ ได้ให้ความเห็นต่อการขยายกลุ่มอายุการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก(HPV) ในเยาวชนไทย รวม 4 ทางเลือก ได้แก่ 1) รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณให้กับกระทรวงสาธารณสุขดำเนินโครงการ 2) ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน โดยประชาชนร่วมจ่ายวัคซีนราคาถูกกว่าท้องตลาด(Co-payment) 3) หน่วยงานรัฐในแต่ละพื้นที่มีความพร้อมเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ เช่น อปท. และสำนักอนามัย กทม. เป็นต้น และ 4) ประชาชนจ่ายเงินซื้อวัคซีนเอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เยาวชนไทยที่อยู่นอกเป้าหมายของบริการวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ สามารถเข้าถึงวัคซีนได้ ด้วยการลดอุปสรรคด้านราคาวัคซีน จากการจัดบริการวัคซีนโดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ประชาชน และภาคเอกชน เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก และลดผลกระทบจากมะเร็งปากมดลูกในประชาชนไทยให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น กลุ่มเป้าหมาย คือ เยาวชนไทยหญิงที่มีอายุระหว่าง 12 – 18 ปี ซึ่งนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขคาดการณ์ว่าถ้าสามารถเพิ่มการให้บริการวัคซีนเอชพีวีในเด็กนักเรียนประถมปลายจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่อยู่นอกเป้าหมายของบริการวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศได้ จะสามารถลดภาระมะเร็งปากมดลูก ของประเทศได้รวดเร็วขึ้น 8 ปี คิดเป็นจำนวนผู้ป่วยที่สามารถป้องกันได้เพิ่มขึ้น อีกกว่า 22,000 ราย และช่วยลดการสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคได้อย่างมหาศาล
ทั้งนี้คณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้อย่างรอบด้าน รวมถึงข้อจำกัดด้านงบประมาณจัดซื้อจัดหาวัคซีนของภาครัฐแล้ว จึงมีมติให้การสนับสนุนทางเลือกที่ 3 โดยสนับสนุนให้หน่วยงานท้องถิ่นที่มีศักยภาพ พิจารณาจัดหาวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกมาให้บริการฟรีกับเยาวชนกลุ่มดังกล่าวได้อย่างครอบคลุมและครบถ้วนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งทางเลือกที่ 4 หากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมีข้อจำกัดในด้านงบประมาณและหรือด้านอื่น ๆ โดยสนับสนุนให้วัคซีนเอชพีวีเป็นวัคซีนทางเลือกสำหรับที่ผู้ปกครองต้องจ่ายเงินซื้อวัคซีนเองสำหรับเยาวชนกลุ่มดังกล่าวเช่นกัน
“สำหรับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากมติคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคดังกล่าว จะเป็นการสนับสนุนและเปิดโอกาสที่จะทำให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นรวมทั้งผู้ปกครองสนับสนุนการจัดซื้อจัดหาวัคซีนแก่เยาวชนกลุ่มที่อยู่นอกเป้าหมายของบริการวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศได้มากยิ่งขึ้น อันจะทำให้สามารถลดอุบัติการณ์การป่วย การเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกได้เร็วขึ้น 8 ปี และจำนวนผู้ป่วยลดได้สูงสุดไม่ต่ำกว่า 22,000 ราย หากมีการรับวัคซีนกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติมดังกล่าวทั้งหมด รวมทั้งได้รูปแบบการบริหารจัดการ การบริการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งจะเป็นรูปแบบตั้งต้นในการพัฒนาการให้บริการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในลักษณะเดียวกับวัคซีนอื่นๆในอนาคต สำหรับวัคซีนที่มีราคาสูง” ดร.นพ.จรุง กล่าวในตอนท้าย