หนุนพัฒนาเฮลท์เทคไทยก้าวสู่เมดิคัลฮับ (Medical Hub) มหาวิทยาลัยมหิดล ลงนาม MOA ความร่วมมือกับสนง.พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)โดย เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ผนึกกำลังขับเคลื่อนแผนแม่บท EECi ด้านอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของประเทศไทย มหิดลเผยแนวคิดพัฒนาโครงการ ศาลายา สตาร์ทอัพ ทาวน์ ให้เป็นเมืองแห่งสตาร์ทอัพเฮลท์เทคและเฮลท์แคร์ เชื่อมโยง EECi ทั้งรองรับระบบรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อนช่วงตลิ่งชัน – ศาลายา และการขยายตัวของศาลายา
ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สนง.พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ผู้อำนวยการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า EECi มุ่งสร้างนวัตกรรมและเป็นพื้นที่ต้นแบบในการนำนวัตกรรมเข้าไปผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (New S-Curve) สู่เป้าหมายไทยแลนด์ 4.0 สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลมุ่งส่งเสริม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต รองรับสังคมสูงวัยที่กำลังมาถึง และสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ประเทศ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพกว้างไกล มูลค่าHealth Tech ในตลาดโลก ปี 2020 คาดว่าจะสูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ประเทศไทยมีมูลค่าส่งออกและนำเข้า ปีละกว่า 1.6 แสนล้านบาท ตลอดจน ธุรกิจ HealthCare ในประเทศไทยสำหรับขาวต่างชาติ มีมูลค่า ประมาณ 1 แสนล้านบาท ดังนั้น สวทช. จึงได้ลงนามความร่วมมือบันทึกข้อตกลงการพัฒนาและขับเคลื่อนแผนแม่บท EECi ด้านอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในประเทศไทย เนื่องจากเห็นว่ามหาวิทยาลัยมหิดล มีศักยภาพองค์ความรู้ด้านการแพทย์ สุขภาพและสาธารณสุข ผลิตบุคคลากร ผู้เชี่ยวชาญและมีความพร้อมที่จะเป็น Lead Partner ผู้นำหลักเสริมทัพความแข็งแกร่งของเครือข่ายอุตสาหกรรมและซัพพลายเชน Health Tech และ HealthCare ของไทยให้เติบโตก้าวหน้า เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาคนและสตาร์ทอัพในสายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการแพทย์และสุขภาพ การวิจัยและนวัตกรรมใหม่ๆ
ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยมหิดล มุ่งสู่การเป็น World-Class University ส่งเสริมการศึกษายุคใหม่ด้วยทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เตรียมความพร้อมของคนรุ่นใหม่และบุคคลากรในอุตสาหกรรมการแพทย์-สุขภาพ สู่สังคมฐานนวัตกรรม โดยทำงานร่วมกับคณะแพทยศาสตร์หลายแห่งและเครือข่ายอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด ในขอบเขตข้อตกลง MOA ระยะเวลา 5 ปี ทั้งสองฝ่าย จะจัดทำโรดแมพการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในประเทศไทย ระยะ 10 ปี คาดว่าจะเสร็จใน 6-8 เดือน โดยครอบคลุมรูปแบบการพัฒนาความสามารถทางเทคโนโลยี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนากำลังคนทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ทั้งของ EECi และที่เกี่ยวเนื่อง สนับสนุนการพัฒนาโดยเชื่อมโยงผู้ผลิตนวัตกรรมและผู้ใช้นวัตกรรมทั้งในและข้ามห่วงโซ่อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ทั้งจากภายในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยจัดกิจกรรมเชื่อมต่อและสร้างกลไกกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาและนำเทคโนโลยีสู่การใช้ประโยชน์ ตลอดจนขยายผลต่อยอดไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้ ปัจจุบันมหาวิทยาลัยมหิดล มี 17 คณะ 6 วิทยาลัย 8 สถาบัน 5 โรงพยาบาล 2 โรงพยาบาลทันตกรรม และ 2 โรงพยาบาลสัตว์ รวมทั้งห้องปฏิบัติการที่ก้าวล้ำทันสมัยของคณะต่างๆ พร้อมด้วยโครงการ ศาลายา สตาร์ทอัพ ทาวน์ (Salaya Startup Town) เมืองแห่งสตาร์ทอัพเฮลท์เทคและเฮลท์แคร์ ที่เชื่อมต่อกับระบบรถไฟฟ้าทันสมัยในอนาคต
ผศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน – ศาลายา มีระยะทาง 14.8 ก.ม. ในวงเงินลงทุนกว่า 19,000 ล้านบาท กำหนดจะแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2565 นั้น การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้มอบหมายให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ดำเนินการศึกษาแนวทางการพัฒนาใช้ประโยชน์ที่ดินพื้นที่โดยรอบของสถานีศาลายา คาดว่าจะมีผู้ใช้สถานีศาลายาวันละ 35,000 คน ในด้านโครงการศาลายา สตาร์ทอัพ ทาวน์ (Salaya Startup Town) มหาวิทยาลัยมหิดล มีแนวคิดเมืองสตาร์ทอัพแห่งเฮลท์เทคและเฮลท์แคร์ ประกอบด้วยระบบนิเวศน์และบริการแก่นักวิจัยและธุรกิจอุตสาหกรรม เช่น 1.Innogineer Studio เวิร์คช็อปที่ครบครันเครื่องมือไฮเทคสำหรับเอสเอ็มอีและเมคเกอร์เข้ามาทำโปรเจคต่าง ๆ สร้างชิ้นงานและต้นแบบจากความคิดสร้างสรรค์ 2. Innogineer BAY ศูนย์ฝึกหัดด้านหุ่นยนต์และระบบ AI ที่ทันสมัยระดับโลก 3. Innovation Service Center ศูนย์บริการนวัตกรรมแก่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม กำหนดเปิดในเดือน กันยายน 2562 4.ศูนย์นวัตกรรมสังคมสูงวัยและ Smart Home 5. ห้องปฏิบัติการและศูนย์วิจัยที่ชำนาญด้านต่าง ๆ ของม.มหิดล 6. ศูนย์ LogHealth บริการระบบโลจิสติกส์โรงพยาบาล และจัดทำแผนแม่บท HealthCare Logistics Big Data ของประเทศอีกด้วย
7.ศูนย์ทดสอบเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ กำหนดเปิดปลายปี 2562 จะช่วยปลดล๊อคการผลิตนวัตกรรมได้มากขึ้น โดยประหยัดเวลาและประหยัดต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายในการยื่นขอรับการรับรองในต่างประเทศซึ่งสูงมาก 8.ศูนย์หุ่นยนต์การแพทย์ระดับสูง มูลค่าลงทุนรวม 1,200 ล้านบาท กำหนดเปิดเฟสแรกในปี 2563 และเฟสสองในปี 2564 และ 9. UNTIL Thailand ศูนย์ปฏิบัติการนวัตกรรมโดยสหประชาชาติจะเปิดเป็นแห่งที่ 5 ของโลก ในปลายปี 2562
รศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า แนวโน้มการวิจัยพัฒนาและเทคโนโลยีด้านสุขภาพและชีวการแพทย์ก้าวไปอย่างรวดเร็ว AI Deep Tech จะเข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญในการใช้งานด้านการตรวจวินิจฉัย ฟื้นฟูและบำบัดรักษาอย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องแม่นยำ รวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆ เช่น หุ่นยนต์ผ่าตัด เทคโนโลยีที่ใช้คลื่นสมอง สตาร์ทอัพในหลายประเทศต่างคิดค้นนวัตกรรมสุขภาพไร้สาย (Wireless Health) และอุปกรณ์สุขภาพเคลื่อนที่ (Mobile Health) ในยุคที่การสื่อสาร 5G ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงด้วยประสิทธิภาพใหม่ จะทำให้เกิดการเชื่อมต่อการแพทย์กับโลกอินเทอร์เน็ตที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น IoMT (Internet of Medical Things) ที่เห็นได้ชัดคือ อุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Devices) ซึ่งมีแนวโน้มได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง