สาหร่ายเป็นพืชชั้นต่ำที่มีคลอโรฟิลล์ สามารถสังเคราะห์แสงได้เอง มีความสำคัญกับระบบนิเวศน์ในการรักษาสมดุลธรรมชาติ ซึ่งสาหร่ายยังสามารถสร้างสารพิเศษบางชนิดที่มีประโยชน์และโทษ โดยในปัจจุบันนี้มีการเพาะเลี้ยงสาหร่ายเพื่อการค้ามากขึ้น จนส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายของสาหร่ายไปตามแหล่งน้ำจืดตามธรรมชาติมากขึ้นและน้อยคนนักที่จะรู้ว่าสาหร่ายบางชนิดสามารถทำให้เกิดพิษต่อร่างกายของมนุษย์และสัตว์ได้
นางสาวศยามล สิทธิสาร นิสิตปริญญาเอกสาขาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า สาหร่ายที่มีพิษเช่น Microcystis aeruginosa จัดว่าเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งในกลุ่ม cyanobacteria ที่มีคุณสมบัติส่วนหนึ่งเหมือนพืชสามารถสังเคราะห์แสงได้และมีสีเขียวอมน้ำเงิน (photosynthetic pigments) หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า Blue-green algae พบได้ทั่วไปตามแหล่งน้ำจืดโดยจะเพิ่มปริมาณมากในช่วงอากาศร้อน ซึ่งสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (Blue-green algae) สามารถผลิตสร้างพิษที่มีชื่อว่า microcystins และ anatoxins โดยสาหร่ายจะปลดปล่อยสารพิษออกจากเซลล์เมื่อเซลล์แตก ซึ่งการเพิ่มปริมาณของสาหร่ายนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น แหล่งน้ำที่นิ่งสงบ อุณหภูมิของแหล่งน้ำประมาณ 20-30 องศาเซลเซียส และแหล่งน้ำที่พบสารไนเตรทและฟอสเฟตปนเปื้อนอยู่ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้เป็นแหล่งอาหารให้กับสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินจึงทำให้มีการเจริญเติบโตของสาหร่ายได้รวดเร็ว และส่วนใหญ่จะพบการเกิดพิษของสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินได้ในสัตว์เลี้ยงที่บริโภคน้ำเข้าไป หรือในสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนั้นๆ ในต่างประเทศมีการควบคุมปริมาณของ microcystins โดยองค์การอนามัยโลก (world health organization; WHO) ไว้ไม่ให้เกิน 1 ไมโครกรัมต่อลิตร แต่ในประเทศไทยยังไม่มีการประกาศควบคุมสารพิษนี้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้พบว่ามีการปนเปื้อนของสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินบริเวณแม่น้ำปราจีนบุรีทำให้ปลาทั้งในกระชังและปลาตามธรรมชาติตายเป็นจำนวนมาก หรือแม้กระทั่งสุนัขที่ลงไปว่ายน้ำในแหล่งน้ำที่มีการปนเปื้อนของสารพิษ microcystins สามารถทำลายตับได้ ถ้าสุนัขได้รับพิษเข้าไปจะแสดงอาการหนาวสั่น ท้องเสีย อ่อนเพลีย ตัวซีด จนถึงช็อคได้ถ้าได้รับสารพิษในปริมาณมาก microcystins แยกออกได้เป็นหลายชนิด เช่น Hepatotoxins จะไปทำลายตับ, Neurotoxins จะไปทำลายระบบประสาท เป็นต้น microcystins มีความคงตัวค่อนข้างสูง เนื่องมาจากโครงสร้างทางเคมี (รูป1) จึงทำให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ทั้งในน้ำที่มีอุณหภุมิเย็นก็ได้อุ่นก็ได้ นอกจากนี้ยังทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของน้ำเป็นอย่างดี ปัจจุบันมีการค้นพบ microcystins มากกว่า 50 ชนิด
ผลกระทบในด้านด้านการบริโภคสัตว์น้ำหรือแม้กระทั่งอาหารจานหรูอย่างเช่นหูฉลามก็สามารถส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคได้ โดยมีผลการวิจัยในหัวข้อ “Cyanobacterial Neurotoxin β-N-Methylamino-L-alanine (BMAA) in Shark Fins” พบว่าสารพิษที่ชื่อ บีต้า-เอ็น-เมธิล อะมิโน-แอล-อะลานีน ( β-N-Methylamino-L-alanine; BMAA) ซึ่งสาร BMAA ถูกผลิตขึ้นในธรรมชาติโดยสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน โดยสาร BMAA จะส่งผลร้ายต่อระบบประสาทโดยจะไปทำให้เซลล์ประสาทเสื่อมได้ ทำให้เกิดโรคของระบบประสาทได้ เช่น โรคอัลไซเมอร์ และโรค Amyotrophic lateral sclerosis (ALS) โดยนักวิจัยของสหรัฐอเมริการพบว่าในผู้ป่วยทั้งสองโรคนี้จะพบปริมาณสาร BMAA ในสมองสูง ซึ่งในคนปกติจะไม่พบสารนี้หรือพบน้อยมากเมื่อเทียบกับผู้ป่วย
สาหร่ายในกลุ่มนี้ มีอยู่หลายสกุลมาก แต่สกุลที่มีรายงานว่าทำให้เกิดพิษต่อสัตว์ ได้แก่ สกุล Anabaena, Aphanizomenon, Microcystis, Nodularia, Nostoc และ Oscillatoria โดยพิษจากสาหร่ายชนิดนี้จะก่อให้เกิดผลต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีฤทธิ์ที่มีผลต่อตับส่งผลให้เกิดมะเร็งตับได้ ส่วนการจะสังเกตอย่างไรว่าสาหร่ายชนิดไหนมีพิษหรือไม่มีพิษ คือต้องทดสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ซึ่งหากสัมผัสกับน้ำที่มีพิษของสาหร่ายชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการแพ้ แสบ คัน ระคายเคือง ถ้าเข้าตาทำให้ตาอักเสบ และหากปนเปื้อนเข้าไปในน้ำดื่มในปริมาณมากจะทำอันตรายต่อตับ ก่อให้เกิดเนื้องอก และตับล้มเหลว หรือเป็นมะเร็ง นอกจากนั้นปลาและสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่มีสาหร่ายนี้จะได้รับสารพิษสะสมในตับเมื่อคนกินปลาเข้าไปก็จะได้รับพิษเช่นกัน โดยน้ำประปาที่ผ่านเครื่องกรองน้ำที่มีสาร Activated Carbon สามารถลดพิษลงได้ถึง 80% ดังนั้นข้อควรระวังสำหรับท่านที่เลี้ยงสุนัขและมีที่พักอาศัยอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่มีสาหร่ายเจริญเติบโตอยู่ ก็ควรงดให้สุนัขลงไปเล่นน้ำ หรือดื่มน้ำจากแหล่งน้ำนั้น แต่ก็มีความเป็นไปได้น้อยมากที่สัตว์เลี้ยงจะได้รับพิษจากสาหร่ายจนเกิดอาการป่วยเพราะพิษนี้จะแสดงอาการก็ต่อเมื่อได้รับสารพิษในปริมาณมากและสม่ำเสมอ