ภาคเอกชนทั่วโลกมั่นใจเศรษฐกิจโลกเติบโตต่อเนื่องอีกสองปี ปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งคือ ความไม่มั่นคงทางการเมือง ขณะที่นักธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกระบุว่าราคาของวัตถุดิบอาจเป็นอุปสรรคขัดขวางการเติบโต

0
308
image_pdfimage_printPrint

นับเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษที่เศรษฐกิจของประเทศต่างๆทั่วโลก เจริญเติบโตไปพร้อมกัน  ถึงแม้จะยังมีความไม่แน่นอน แต่บริษัทเอกชนกลับเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องยิ่งๆขึ้นไป จึงทำให้เอกชนวางแผนการลงทุนที่สอดคล้องและรองรับการเจริญเติบโตในอนาคต

ดีลอยท์เผยผลสำรวจ “ทัศนคติของบริษัทเอกชนทั่วโลกเรื่อง การวางแผน, ลำดับความสำคัญและความคาดหมาย” (Global perspectives for private companies: Plans, priorities, and expectations) ซึ่งเป็นผลการสำรวจครั้งแรกของ Deloitte Private (กลุ่มงานของดีลอยท์ที่ดูแลให้บริการลูกค้าบริษัทเอกชน ให้ความสำคัญกับประเด็นต่างๆที่จะส่งผลต่อธุรกิจของลูกค้า) โดยผู้ตอบคำถามเป็นผู้บริหารของบริษัทเอกชน จำนวน1,900 คน ใน 30 ประเทศทั่วโลก ผลการสำรวจระบุว่า ผู้บริหารบริษัทสองในสามเชื่อมั่นว่าในปีหน้ารายได้ผลกำไร ความสามารถในการผลิต และเงินลงทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน  นอกจากนี้ ผู้ตอบร้อยละ 45 ยังมีแผนจะจ้างพนักงานเต็มเวลาเพิ่มขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบร้อยละ 53 ยอมรับว่า มีความไม่มั่นใจเพิ่มขึ้นเรื่องทิศทางในอนาคตของธุรกิจตัวเอง

“การที่บริษัทเอกชนทั้งหลายมองเห็นธุรกิจจะไปได้สวยนั้นเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจโลกเติบโตไปทิศทางเดียวกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆปี” มาร์ค วิตมอร์ โกลบอลลีดเดอร์ของ Deloitte Private บริษัทดีลอยท์ แคนาดา กล่าว “แม้ว่าจะมีความไม่แน่ใจอยู่บ้าง แต่บริษัทเอกชนต่างก็เร่งเครื่องเพื่อความได้เปรียบทางธุรกิจ”

ต่างภูมิภาคต่างความเสี่ยง

ถึงแม้โดยรวมแล้วบริษัทต่างๆจะมีความเห็นตรงกันว่ามีอนาคตสดใสรออยู่ข้างหน้า (สะท้อนให้เห็นความเชื่อมโยงของเศรษฐกิจโลกว่าเป็นตลาดเดียวกันและมีผลกระทบซึ่งกันและกัน) แต่ผลการสำรวจก็แตกต่างในบางรายละเอียด สะท้อนให้เห็นว่าแต่ละภูมิภาคมองปัจจัยเสี่ยงแตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น ผู้ตอบในทวีปอเมริกากังวลใจเรื่องสภาพเศรษฐกิจในประเทศของตนเอง ขณะที่ผู้ตอบ ในภูมิภาค EMEA (ยุโรป, ตะวันออกกลางและอาฟริกา) บอกว่าการจ้างพนักงานเป็นความท้าทายสูงสุด และผู้ตอบในเอเชียแปซิฟิกระบุว่าราคาของวัตถุดิบอาจเป็นอุปสรรคขัดขวางการเจริญเติบโตก็ได้

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารทั่วโลกเห็นตรงกันว่าความไม่มั่นคงทางการเมืองคือปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเติบโตเป็นอันดับหนึ่ง นอกจากนี้ ผู้ตอบแต่ละภูมิภาคระบุว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการชะงักของตลาด, ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน, อุปทานภายในประเทศลดลง, กฎระเบียบเข้มงวดมากขึ้นและค่าใช้จ่ายทางเทคโนโลยี ก็เป็นอุปสรรคที่สำคัญเช่นกัน  สำหรับมาตรการบรรเทาความเสี่ยงเหล่านี้ ผู้ตอบร้อยละ 35 ระบุว่า ต้องเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตให้สูงขึ้น ส่วนอีกร้อยละ 33 ระบุว่าต้องเพิ่มผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ พร้อมกับขยายตลาดปัจจุบันให้โตขึ้นกว่าเดิม

มุ่งสู่ตลาดโลก

ร้อยละ 79 ของบริษัททั่วโลกยอมรับว่ารายได้ส่วนหนึ่งของบริษัทมาจากการส่งออกไปสู่ตลาดโลก นอกจากนี้อีกร้อยละ 43 ยอมรับว่ารายได้มากกว่าหนึ่งในสี่ของบริษัทมาจากการส่งสินค้าป้อนตลาดโลก มีเพียงร้อยละ 10 ที่คาดการณ์ว่ารายได้จากการขายนอกประเทศตนเองจะลดลง

มุมมองต่อเรื่อง supply chain ก็ยังเป็นไปในแง่บวก และชี้ให้เห็นถึงความเกี่ยวโยงสอดประสานของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มมากขึ้น โดยร้อยละ 84 บอกว่าการค้าในตลาดโลกนั้นสำคัญกับ supply chain ของตน

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี – ปัจจัยเสริมหรือปัจจัยเสี่ยง?

ถึงแม้ว่าหลายคนจะมองว่าความก้าวหน้าเทคโนโลยีอาจส่งผลด้านลบต่อชีวิตมนุษย์ในอนาคต แต่บริษัทเอกชนมองว่าการก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิตัลเป็นผลดีต่อบริษัทและการประกอบธุรกิจ ผู้ตอบแบบสอบถามถึงสองในสามระบุว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสร้างโอกาสใหม่ๆสำหรับธุรกิจ

เทคโนโลยีเกิดใหม่ก็เป็นอะไรที่สำคัญกับบริษัทเอกชนในกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต  ถ้ามองถึงจุดประสงค์หลักในการทำเทคโนโลยีมาใช้  ร้อยละ 62 ของบริษัทเอกชนนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ร้อยละ 46 ใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาการมีส่วนร่วมของลูกค้า ร้อยละ 45 มุ่งไปที่การเติบโตของธุรกิจ  และร้อยละ 37 ใช้เทคโนโลยีในการวิจัยและพัฒนา  บ้างก็บอกว่าการวิเคราะห์ข้อมูล/เทคโนโลยีสำหรับรวบรวม จัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูล  และระบบอัตโนมัติในการดำเนินธุรกิจ จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการกำหนดเป้าหมายในการเติบโตของธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม หลายคนมองว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็อาจนำมาซึ่งผลกระทบในแง่ลบ  อาทิ ความคาดหวังที่เปลี่ยนไปของลูกค้า (ร้อยละ 31),  ความเปลี่ยนแปลงทางตลาดระดับมหภาค (ร้อยละ 38), การเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบ (ร้อยละ 39) เป็นต้น  เกือบครึ่งนึงของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจจะไม่ได้มาจากคู่แข่งทางธุรกิจแบบเดิมๆเท่านั้น เทคโนโลยีก็อาจก่อให้เกิดการชะงักของธุรกิจเช่นกัน

การควบรวมกิจการ – ทางออกสดใส

ในปีที่ผ่านมา อาจจะไม่ค่อยเห็นการควบรวมกิจการมากนัก แต่ผลการสำรวจแสดงให้เห็นถึงการกลับมาของการควบรวมกิจการเพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ในการสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจ  ผู้ตอบร้อยละ 68 กล่าวว่ามีแผนในเรื่องการควบรวมกิจการในช่วงปีหน้า  ยิ่งไปกว่านั้น ร้อยละ 42 เชื่อว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ในปีหน้า เมื่อถามถึงเหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องควบรวมกิจการ ร้อยละ 33 ตอบว่าการควบรวมกิจการเปิดโอกาสให้เข้าสู่ตลาดโลกใหม่ได้ง่ายขึ้น และอีกร้อยละ 32 มองว่าการควบรวมกิจการคือโอกาสในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มฐานลูกค้าให้หลากหลายยิ่งขึ้น

การลงทุนในตัวพนักงาน – ภาวะสะท้อนกลับ

ถึงแม้เทคโนโลยีจะช่วยลดขั้นตอนในการทำงาน  เพิ่มความสามารถการทำงานของมนุษย์ให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่หลายๆบริษัทก็ยังคงเน้นความสำคัญในด้านการลงทุนพัฒนาศักยภาพของบุคลากร เพื่อจัดการกับปัญหาด้านการสรรหาบุคลากร  ความต้องการบุคลากรที่เพิ่มขึ้น ในดึงดูดให้พนักงานเก่งๆ ทำงานในบริษัทต่อไปนานๆ  ผู้ตอบร้อยละ 46 กล่าวว่ามีแผนลงทุนด้านฝึกอบรมพนักงาน ขณะที่ร้อยละ 33 เริ่มดำเนินการลงทุนในโปรแกรมพัฒนาผู้นำในอนาคตของบริษัทเรียบร้อยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ร้อยละ 16 ของผู้ตอบแบบสอบถามยังมองว่าการสร้างความแข็งแกร่งของทีมผู้บริหารเป็นกลยุทธ์หลักในการเติบโตของธุรกิจ  และสร้างทีมบุคลการที่มีความสามารถเพื่อเติบโตต่อไปเป็นผู้บริหารที่มีความแข็งแกร่ง  เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของบริษัทในอนาคต