ประเด็นร้อนรถเมล์ เอ็นจีวี. ขสมก.ซุ่มวิ่งเก็บค่าโดยสาร
วันที่ 1 สิงหาคม ทันทีที่นายสมศักดิ์ ห่มม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคม แถลงข่าวเปิดแผนฟื้นฟู ขสมก. ด้วยการปรับลดค่าใช้จ่าย โดยปลดพนักงานลงเหลือ 7,500 คน จากปัจจุบัน 14,000 คน
ขสมก.แทบจะลุกเป็นไฟ พนักงานต่างพากันตั้งข้อสังเกตว่า นายสมศักดิ์ ออกมาแถลงข่าวในฐานะใด ทั้งๆที่ บอร์ด ขสมก.ชุดเดิมได้แต่งตั้งนายยุกต์ จารุภูมิ เป็นรักษาการผู้อำนวยการ ขสมก.ไปแล้ว
เหตุใดนายสมศักดิ์ ถึงยังไม่ยุติบทบาทรักษาการ ผอ.ขสมก. และเหตุใดนายยุกต์ จารุภูมิ รักษาการ ผอ.ขสมก.คนใหม่จึงไม่ออกมาทำหน้าที่ เสียงร่ำลือสะท้อนมาว่า นายยุกต์ เป็นแค่ตุ๊กตาตั้งขึ้นเพื่อหวังลดกระแสปมปัญหาต่างๆที่หมักหมมบานปลายกลายเป็นคดีความรุมเร้า ขสมก. อย่างหนัก ในช่วงที่นายสมศักดิ์ นั่งแท่น ผอ. ขสมก.เพียงแค่ 3 เดือน
“แค่นี้ ขสมก.ก็ร้อนเป็นไฟแล้ว หากนายสมศักดิ์กลับมาอีกครั้ง อนาคต ขสมก.คงมืดมน“ หนึ่งในเสียงสะท้อนจากพนักงาน ขสมก.
สำหรับความคืบหน้าของการจัดซื้อ โครงการจัดซื้อรถโดยสาร เอ็นจีวี 489 คันตามข้อกำหนดของ ปปช.ให้ใช้ราคากลางเดิมวงเงิน 3,387 ล้านบาทซึ่งเป็นราคาที่บริษัทเบสทริน กรุ๊ป จำกัดชนะประมูลเมื่อครั้งที่แล้ว จะไปอ้างอิงหรือไปใช้ราคาอื่นไม่ได้
นายสมศักดิ์ แถลงในวันเดียวกัน ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างนำร่างเงื่อนไขประกวดราคา(ทีโออาร์) ขึ้นเว็บไซต์เพื่อรับฟังความคิดเห็นตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค.ถึงวันที่ 1 ส.ค. ถ้าไม่มีเอกชนรายใดมีข้อคัดค้านก็จะเปิดขายเอกสารประกวดราคาในวันที่ 7 ส.ค. นี้ หากไม่มีเอกชนเข้ายื่นซื้อซองราคา ขสมก.ก็ล้มโครงการจัดซื้อ
ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 30 ก.ค.บริษัท แม่โขงเทคโนโลยี่ จำกัด ได้ยื่นเอกสารแสดงความคิดเห็นซึ่ง ขสมก. ได้ลงเลขรับที่ 8459 ประทับตราตรวจรับเอกสารเมื่อวันที่ 1 ส.ค.โดยมีเนื้อหาอย่างย่อๆ 2 ประเด็น
1.การกำหนดราคากลางในครั้งนี้แตกต่างจากราคากลางของร่างขอบเขตของงานและร่างเอกสารประกวดราคา ในครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เป็นจำนวนเงินถึงกว่า 600 ล้านบาท บริษัทฯใคร่ขอทราบเหตุผลของการกำหนดราคากลางที่แตกต่างกันในครั้งนี้และหากไม่มีเอกชนรายใดสามารถเสนอราคาที่ตำกว่าราคาที่กำหนด จะดำเนินการอย่างไรต่อไป
และ 2.ในข้อกำหนดเรื่องการตรวจรับรถโดยสารฯจะเสร็จสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้ผ่านการจดทะเบียนและชำระภาษีจากกรมการขนส่งทางบกแล้วและผ่านการตรวจรับจากคณะกรรมการตรวจรับรถโดยสารเรียบร้อยแล้วนั้น หากเกิดกรณีเหตุสุดวิสัย หรือเหตุประการใดๆที่คณะกรรมการตรวจรับ ไม่ตรวจรับรถโดยสาร หรือมีการบอกเลิกสัญญาไม่ว่าจะเกิดจากกรณีใดๆจะทำให้รถโดยสารฯที่ผ่านการจดทะเบียนและชำระภาษีแล้วกลายเป็นรถมือสองหรือไม่ และอาจเป็นเหตุทำให้เสียทรัพย์(รถโดยสารฯ)เสื่อมค่าลงไปหรือไม่ ลงชื่อนายสุรดิษฐ์ สีดามาตย์ กรรมการบริษัทแม่โขงเทคโนโลยี่ จำกัด
ปรากฏว่าความคิดเห็นดังกล่าว ไม่มีเสียงตอบรับจาก ขสมก.โดยเฉพาะนายสมศักดิ์ ซึ่งเมื่อครั้งเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็น ทีโออาร์ ครั้งที่แล้วนายสมศักดิ์ได้นำเนื้อหาความคิดเห็นเปิดเผยต่อสาธารณะชน แต่ครั้งนี้กลับเก็บเงียบ
ฝ่ายกฎหมายของบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด โดยนายสุนทร ชูแก้ว ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อ ขสมก.เปิดโอกาส รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆอย่างเปิดเผยแล้ว แต่ขสมก.กลับละเลย ไม่เผยแพร่สู่สาธารณะ การกระทำเช่นนิ้ มีอะไรซ่อนเร้นหรือไม่ หรือเพื่อที่จะต้องการให้ราคาที่บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด เคย ชนะราคาเป็นราคาที่ไม่มีผู้ประกอบการสนใจประมูล เพื่อที่จะได้ใช้เป็นเหตุกลับไปใช้ราคากลางใหม่ที่
จำนวนเงินสี่พันล้านเศษหรือไม่?
หากมีเจตนาเช่นนั้นจริงแล้ว ก็ย่อมทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณโดยไม่จำเป็น การกระทำเช่นนี้อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายตามมาและต้องมีผู้รับผิดชอบแน่นอน” ทนายสุนทรกล่าว
สำหรับเรื่องการเพิกถอนทะเบียนรถยนต์โดยสารจำนวน 292 คัน ทนายสุนทรกล่าวว่า ถ้าดูจากเอกสาร ประกาศนายทะเบียนเรื่องยกเลิกการจดทะเบียนรถจำนวน 292 คัน ลงนามโดยนายสนิท พรหมวงษ์ นาย ทะเบียนประจำกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน มีใจความย่อๆว่า
“เนื่องจากนายทะเบียนได้รับแจ้งจาก ขสมก.ตามหนังสือที่ ขสมก.651/2560 ลงวันที่ 8 เมษายน 2560 ว่า สัญญาระหว่าง ขสมก.กับบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ได้สิ้นสุดลงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันรวมทั้ง ใบเสร็จรับเงินที่ออกให้เป็นเท็จจึงขอให้ขนส่งทางบกยกเลิกการจะทะเบียนรถโดยสารฯทั้ง 292 คัน”
ทนายสุนทรกล่าวอีกว่า ขอให้ดูลำดับเวลาแล้วจะเห็นว่า ขสมก. ดำเนินการไม่ถูกต้องเพราะ ขสมก.มีการแจ้ง บอกเลิกสัญญามายังบริษัท เบสท์รินกรุ๊ป จำกัดเพียงครั้งเดียวคือวันที่ 12 เมษายน แต่ ขสมก.กลับมี หนังสือแจ้งไปยังกรมการขนส่งทางบกตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2560 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จะมีการบอกเลิก สัญญาว่า ขสมก.กับบริษัทฯ ได้สิ้นสุดลงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันแล้ว
ทั้งๆที่ในขณะนั้นสัญญาระหว่าง บริษัทเบสท์ริน และ ขสมก. ยังไม่ได้มีการบอกเลิก การดำเนินการของ ขสมก.จึงเป็นการแจ้งข้อความที่ไม่ถูกต้องไปยังกรมการขนส่งทางบก จนเป็นเหตุให้ นายทะเบียนได้ประกาศยกเลิกการจดทะเบียนรถจำนวน 292 คันดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ บริษัทเบสทริน ซึ่งฝ่ายกฎหมายกำลังพิจารณาดำเนินการเรียกร้องความเสียหายที่เกิดขึ้น
การดำเนินการดังกล่าวในเรื่องนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ขสมก. มีเจตนาที่จะยกเลิกการรับโอนรถจาก บริษัทเบสทริน ซึ่งอาจมีผลทำให้ ขสมก เสียเปรียบในการต่อสู้คดีกับบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ในคดี พิพาทที่ศาลปกครองกลาง เพราะเนื่องจาก ขสมก ได้มอบอำนาจให้บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์เป็นชื่อของ ขสมก ถือเสมือนหนึ่ง ขสมก. ได้ตรวจรับมอบรถยนต์จาก บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ไปแล้วโดยปริยายและโดยชอบด้วยกฎหมาย
เรื่องนี้นายสมศักดิ์ทราบดี เห็นได้จากการให้สัมภาษณ์ของนายสมศักดิ์ที่เคยบอกไว้ว่าการร่าง TOR ฉบับ ใหม่ต้องมีการแก้ไขเรื่องนี้ เพราะการจดทะเบียนรถยนต์โดยสารให้ ขสมก. มีผลตามกฎหมาย ดังนั้นการที่ ขสมก. ได้เร่งรีบแจ้งหนังสือไปยังกรมการขนส่งทางบกเพื่อยกเลิกการโอนทะเบียนรถ อาจเป็นความ พยายามที่หวังจะลบล้างการจดทะเบียนเพื่อหวังผลทางคดีปกครองหรือไม่อย่างไร?
ทนายสุนทรกล่าวอีกว่า ประเด็นต่อมาการที่นายสมควร นาสนม ประธานกรรมการตรวจรับรถและทดสอบรถโดยสารได้ลงนามในบันทึกข้อความ ที่ ข.ผอก.ฝรอ.1 005/2560 เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560 เรื่อง ขออนุมัติค่าใช้จ่ายและขออนุมัติเก็บค่าโดยสารจากประชาชนผู้ใช้บริการ เพื่อเป็นรายได้ขององค์การ ขสมก. ตามสัญญาซื้อขายระหว่าง ขสมก.กับเบสท์รินเลขที่ ร.50/2559 ลงวันที่ 30 กันยายน 2559 ข้อ 7 การส่งมอบรถยนต์โดยสาร จะต้องเป็นรุ่นที่ผ่านการทดสอบรถยนต์โดยสารตัวอย่าง มีกำหนดระยะเวลา 3 วัน ต่อเนื่อง
ขสมก.ได้นำรถโดยสารไปวิ่งให้บริการประชาชน ตั้งแต่เวลา 04.00-22.00 น. ใช้พนักงานขับรถ ของ ขสมก.และเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคของกรมการขนส่งทางบก และมีผู้แทนจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พนักงานกลุ่มงานซ่อมบำรุงและคณะกรรมการตรวจรับและทดสอบรถโดยสาร โดยมีรถโดยสารตัวอย่างเพื่อการตรวจสอบ จำนวน 10 คัน ดังนี้เขตการเดินรถที่ 1 และ 2 เขตละ 2 คัน เขตการเดินรถที่ 3 และ 4 เขตละ 3 คัน
ทนายสุนทรกล่าวว่า การที่ ขสมก นำรถยนต์โดยสารไปทดลองใช้งานจริง ต่อหน้าสักขีพยานที่มีหน้าที่ส่วนเกี่ยวข้องจากหลายหน่วยงาน และมีการเรียกเก็บเงินค่าบริการจากประชาชนจริงนั้น ทีมกฏหมายเบสทรินพิจารณาพบว่า ขสมก.ได้เข้าใช้ประโยชน์ในรถโดยสารตามสัญญาข้อ 7 แล้ว จึงถือว่าเป็นการตรวจรับมอบรถโดยสารดังกล่าวโดยปริยายแล้ว ตามสัญญาข้อ 8 จึงหมายความว่า ขสมก. ได้ย่อมรับในรถโดยสารแล้วว่า สามารถใช้งานและให้บริการได้จริงสมดังวัตถุประสงค์สำคัญของการทำสัญญาแล้ว
มหากาพย์รถเมล์เอ็นจีวี. ยังคงดำเนินต่อไปไม่ทีท่าว่าจะสิ้นสุด สมเพศเวทนาก็แต่ประชาชนคนโหนรถเมล์ก็คงต้องโหนรถเมล์เน่าๆกันต่อไป