บลจ.ไทยพาณิชย์ จ่ายปันผลกองหุ้นยูเอส-บิลเลี่ยนแนร์

0
448
image_pdfimage_printPrint

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมที่จะจ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นต่างประเทศ พร้อมกัน 2 กองทุนในวันที่ 22 มิถุนายน 2561 นี้ ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ บิลเลียนแนร์ (SCBBLN) ในอัตรา 0.1220 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2560 – 31 พฤษภาคม 2561 ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 4 รวมจ่ายปันผลทั้งสิ้น 0.7395 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อ 24 ก.ค. 2558)

และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส (SCBS&P500) สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2560 – 31 พฤษภาคม 2561 ในอัตรา 0.1780 บาทต่อหน่วย ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 10 รวมจ่ายปันผลทั้งสิ้น 2.3041 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อ 18 ธ.ค. 2555)

สำหรับภาพรวมการบริหารงานของทั้ง 2 กองทุนอยู่ในระดับเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ บิลเลียนแนร์ (SCBBLN) มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 23.25 % ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 9.01% และตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 10.59% (ข้อมูล ณ 18 มิ.ย. 2561) ซึ่งกองทุนนี้มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีiBillionaire Index และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90

ส่วนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส (SCBS&P500) มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 13.53% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.87% และตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 3.48% (ข้อมูล ณ 18 มิ.ย. 2561) ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวมีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุน SPDR S&P 500 ETF Trust ที่บริหารจัดการโดย State Street Global Advisors ซึ่งเป็นกองทุนที่มีการบริหารจัดการแบบ passive โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี S&P 500 และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมายังถือได้ว่าเป็นหนึ่งในตลาดที่มีผลการดำเนินงานดีท่ามกลางความผันผวนของตลาดโลกในหลายภูมิภาครวมถึงสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ (Asset Class) โดยมาจากปัจจัยหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุปสงค์ การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวและการคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเวลาอันรวดเร็วโดยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในแทบทุกช่วงอายุก็ได้ปรับตัวขึ้นในระดับสูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง บลจ.ไทยพาณิชย์ ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาจากปัจจัยสนับสนุนที่ยังคงสะท้อนปัจจัยบวกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการจ้างงาน ภาคการผลิต กอปรกับบรรยากาศการค้าโลกที่มีพัฒนาการออกมาในเชิงบวกมากยิ่งขึ้น รวมถึงเกิดจากการผ่อนคลายความกังวลของตลาดจากปัจจัยความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics Risk) ในเขตภูมิภาคเอเชียเหนือ เป็นต้น

ทั้งนี้สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนยังคงต้องพึงระวัง ได้แก่ ปัจจัยเรื่องค่าเงิน โดยแม้ในช่วงที่เฟด มีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตดี แต่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับอ่อนค่าต่อเนื่องมาตลอดเกินกว่า 12 เดือน นอกเหนือจากนี้คือราคาน้ำมันซึ่งมีการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยอาจจะมีผลกระทบด้านลบตามมาต่อเศรษฐกิจโลกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศที่มีการนำเข้าน้ำมันในระดับสูง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมันยังคงเป็นเรื่องที่ต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด และอาจเป็นปัจจัยที่สำคัญมากขึ้นในการกำหนดทิศทางของตลาดและสภาวการณ์ในการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ไปจนถึงปีหน้า