ที.จี.เอ็ม. ส่งไส้กรอกรสชาติใหม่รุกตลาดช่วงซัมเมอร์ หวังกระตุ้นยอดไตรมาสแรกเพิ่ม 20 % ตั้งเป้า 57 ส่งออกเพิ่มเท่าตัว

0
185
image_pdfimage_printPrint

นางจันทนา พัวพัฒนขจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย เยอรมัน มีท โปรดักท์ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับไส้กรอกพรีเมี่ยมแบรนด์ ที.จี.เอ็ม. ตั้งเป้ายอดขายไส้กรอกไตรมาสแรกเพิ่ม 20 % แม้ผลกระทบจากการเมืองทำให้ตลาดโดยรวมได้รับผลกระทบบ้าง แต่เพราะเป็นไส้กรอกในกลุ่มตลาดพรีเมี่ยม                   จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ซึ่งตลาดกลุ่มนี้ยังคงเติบโตได้ อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกจากดีมานด์ตลาด              ทั้งในส่วนต่างจังหวัดและตลาดส่งออกต่างประเทศในแถบอาเซียน อาทิ กัมพูชา เวียดนาม ลาว             และเมียนมาร์

 

สำหรับภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์ไส้กรอกของบริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดในประเทศประมาณ 40 % ของมูลค่าตลาดรวม 2.5-3 หมื่นล้านบาท ซึ่งแต่ละปีมีอัตราการเติบโต 10% ต่อปี โดยบริษัทฯ มีสินค้า                     ที่จำหน่ายในตลาดมากกว่า 300 ชนิด แบ่งออกเป็น 10 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ผลิตภัณฑ์ไส้กรอกรมควัน ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์หมักแห้ง ผลิตภัณฑ์ไส้กรอกย่าง ผลิตภัณฑ์ไส้กรอกอบ เป็นต้น โดยช่องทางหลัก ยังเป็นในกลุ่มของโมเดิร์นเทรด ซึ่งตลาดผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเนื้อสัตว์ระดับบนในกลุ่มด้งกล่าว             มีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 15-20% ต่อปี ปัจจุบันบริษัทฯ มีส่วนแบ่งที่ 30%               เป็นอันดับ 1 ของตลาด

 

ในปีนี้ บริษัทฯ เน้นพัฒนาคุณภาพและรูปแบบรสชาติใหม่ๆ ให้สินค้ามีความหลากหลาย อร่อย ปลอดภัยด้วยวัตถุดิบที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการขยายฐานลูกค้าใหม่เจาะตลาดกลุ่มร้านอาหารและธุรกิจโรงแรมมากขึ้น ซึ่งยังมีช่องว่างการเติบโตสูงมาก เพื่อหลีกเลี่ยงกลยุทธ์                การแข่งขันด้านราคาเป็นตัวกระตุ้นตลาด โดยในช่วงซัมเมอร์นี้ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ไส้กรอกรสชาติใหม่ “ที.จี.เอ็ม.ไส้กรอกพริกชูบริค” (SCHUBLI CHILI SAUSAGE) ไส้กรอกคุณภาพอุดมไปด้วย              เนื้อหมู คัดสรรอย่างดี คลุกเคล้าเครื่องเทศชั้นดี หมักรมควันต้นตำรับเยอรมันขนานแท้ สะอาดปลอดภัย พร้อมให้ลิ้มลองแล้ววันนี้ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ และมีแผนเพิ่มสัดส่วนการส่งออกจาก 10 % เป็น 20% ของยอดขายทั้งหมด ในอนาคตมั่นใจว่าสัดส่วนการผลิตจะเพิ่มมากขึ้นจากโรงงานแห่งแรกมีกำลังการผลิต 25 ตันต่อวัน ภายในต้นปี 2558 โรงงานแห่งใหม่ภายใต้เทคโนโลยีที่ทันสมัยยิ่งขึ้นจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 40-50 ตันต่อวัน หรือรวมกำลังการผลิตทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 18,000 ตัน/ปี เพื่อรองรับการขยายตลาดอเมริกา ยุโรป และในแถบอาเซียน