ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ฉลอง 40 ปีในไทย ตอกย้ำ EcoStruxure™ เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 พร้อมเปิดแคมเปญ “Bold Idea” เสริมรัฐหนุนเศรษฐกิจดิจิทัลทัดเทียมสากล

0
399
image_pdfimage_printPrint

• เปิดตัวแคมเปญ Bold Idea ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการที่พักอาศัย อาคาร รวมถึงอุตสาหกรรมและไอที เข้ามามีส่วนร่วมช่วยเสริมรัฐหนุนไทยแลนด์ 4.0 ให้เป็นรูปธรรม
• เผยการเปลี่ยนแปลงของโลกพลังงานจากแรงผลักแห่งยุคดิจิทัล 3 เทรนด์หลัก ที่ต้องรับมือให้ทัน
• EcoStruxure เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่จะช่วยองค์กรขับเคลื่อนไปยังยุคดิจิทัล และเป็นหนึ่งในฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ฉลองครบ 40 ปีในประเทศไทย แถลงวิสัยทัศน์ตอกย้ำจุดยืนสนับสนุนการก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเต็มสปีด ตั้งเป้ายกระดับธุรกิจประเทศไทย ชูจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญตลาดอันยาวนานใน 6 สาขาหลัก เพื่อรองรับภาคธุรกิจในการก้าวสู่ Thailand 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ ทั้ง พลังงาน ไอที อาคาร เครื่องกล โรงงาน และโครงข่ายไฟฟ้า พร้อมเปิดตัวแคมเปญ “Bold Idea” ภายใต้หัวข้อ “40 Years for 4.0 Life” เจาะ 4 หัวข้อหลัก คือที่พักอาศัย อาคารและเมือง อุตสาหกรรม และไอที มุ่งสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นให้องค์กร ตระหนักถึงการใช้เทคโนโลยี เพื่อร่วมพัฒนาประเทศสู่ยุคดิจิทัลแบบก้าวกระโดด และทุก 1 โครงงานที่ส่งเข้ามามีส่วนช่วยบริจาคโคมไฟโมบิยา พลังงานแสงอาทิตย์ เปลี่ยนพื้นที่ที่ไร้พลังงานให้มีพลังงานใช้

สำหรับการดำเนินงานในปี 2561 นี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค คาดการณ์ถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกพลังงาน ที่จะถูกขับเคลื่อนด้วย “สมการ 3Ds” เป็นหลัก ได้แก่ 1) แนวโน้มการลดลงของปริมาณก๊าซคาร์บอน (Decarbonization) ผ่านการนำพลังงานทดแทนทั้งในส่วนของพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ ตลอดจนพลังงานจากไบโอแมสที่จะมีการนำเข้ามาใช้งานเพิ่มมากยิ่งขึ้น 2) แนวโน้มการปฏิรูปสู่ระบบดิจิทัล (Digitization) ที่การเกิดขึ้นของ Internet of Things จะเชื่อมโยงอุปกรณ์ต่างๆ มากถึงกว่า 50 พันล้านชิ้นเข้าหากันภายในปี 2020 ที่จะก่อให้เกิดการบูรณาการของข้อมูลจำนวนมหาศาล (Big Data) ตลอดจนถึงการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของอุปกรณ์อัตโนมัติโดยเฉพาะในส่วนของระบบสาธารณูปโภคที่จะเชื่อมเข้าหากันในลักษณะของ “grid-of-things” และ 3) แนวโน้มด้านการกระจายศูนย์พลังงาน(Decentralization) ที่จะรองรับการขยายตัวด้านการบริโภคพลังงาน และตอบโจทย์ท้าทายเรื่องกระแสของผู้บริโภคยุคใหม่ หรือ โปรซูเมอร์ ทั้งในเรื่องสมาร์ทโฮมที่ช่วยจัดการพลังงาน โดย 57 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคจะสามารถผลิตพลังงานได้ด้วยตัวเอง

นายมาร์ค เพลิทิเยร์ ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย กล่าวว่า “ในปี 2560 ที่ผ่านมา ทั่วโลกมีการตื่นตัวในการปฏิรูปธุรกิจแบบดั้งเดิมสู่ดิจิทัล เราพยายามสร้างสรรค์นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อรองรับการใช้งานด้าน IoT พร้อมมอบโซลูชันครบวงจร ใน 6 สาขาหลักที่เป็นความเชี่ยวชาญของเรา ได้แก่ พลังงาน ไอที อาคาร เครื่องกล โรงงาน และโครงข่ายไฟฟ้า ให้แก่ลูกค้า ทำให้เรามีรายได้ทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 24,000 ล้านยูโร หรือราว 952,100 ล้านบาท โดย 28 เปอร์เซ็นต์ของรายได้มาจากประเทศภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคหลักที่สามารถสร้างรายได้ให้กับชไนเดอร์ โดยชไนเดอร์จะนำเงินลงทุน 5 เปอร์เซ็นต์จากยอดรายได้รวมมาใช้ในการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านพลังงานและการบริหารจัดการของภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์”

ทั้งนี้เพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจตอบสนองต่อเทรนด์พลังงานที่เปลี่ยนแปลง และกระแสของดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่นได้อย่างสมบูรณ์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย มุ่งเน้นในการนำเสนอ EcoStruxure ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เป็นหัวใจของ IoT ให้แก่ลูกค้า ที่จะช่วยให้การเชื่อมต่ออุปกรณ์ สินทรัพย์เป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้โปรโตคอลการสื่อสาร แบบอิงมาตรฐาน และทำให้อุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ สามารถทำการวิเคราะห์และให้ข้อมูลสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด อีกทั้งยังช่วยให้หน่วยงาน ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนนักพัฒนา นักออกแบบและติดตั้งระบบ สามารถประยุกต์สร้างแอปพลิเคชั่นต่างๆ เฉพาะของธุรกิจตนเองได้ ซึ่งลูกค้าที่เริ่มต้นใช้งานโซลูชั่น EcoStruxure ในประเทศไทย ตัวอย่างเช่น บริษัท ไทยโพลิเอททีลีน ในเครือซีเมนต์ไทย บริษัท เด็กซ์ตร้า แมนูแฟ็คเจอร์ริ่ง และ ซุปเปอร์แนป ประเทศไทย

“สำหรับเรา เทคโนโลยีดิจิทัลไม่ได้เพียงเข้ามาเสริมของกระบวนการทำงาน แต่ยังเข้ามาเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปการทำงาน โดยในปีที่ผ่านมาเราช่วยให้ลูกค้าทั่วโลก เชื่อมต่อสินทรัพย์/อุปกรณ์ ได้มากขึ้นถึง 1.6 ล้านชิ้น พร้อมกันนี้ ชไนเดอร์ยังมุ่งเน้นที่การสร้างประสบการณ์ด้านดิจิทัลที่ดีให้ลูกค้า ซึ่งทำให้เกิดทราฟฟิกเว็บของบริษัทเติบโตขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์ในทุกปี แม้แต่ดิจิทัลแคตตาล็อคก็มีการเยี่ยมชมมาขึ้นถึง 70 เปอร์เซ็นต์ โดยเราได้สร้างดิจิทัลพอร์ทัลที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงคู่ค้ามากว่า 650,000 รายของเราผ่านช่องทางออนไลน์ เรามีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ โดยมีผู้วางระบบและผู้พัฒนาที่ทำงานร่วมกับเรามากกว่า 20,000 ราย ที่จะช่วยให้เราช่วยเหลือลูกค้าของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายมาร์คกล่าว

วันนี้ เพื่อเป็นการเสริมภาพไทยแลนด์ 4.0 ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้เปิดตัวแคมเปญ Bold Idea ภายใต้หัวข้อ ‘40 Years for 4.0 Life’ เพื่อสร้างการกระตุ้นให้องค์กรธุรกิจเกิดตระหนักการนำเทคโนโนโลยีมาใช้สร้างเพี่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนให้กับองค์กรของตน เพื่อเป็นหนึ่งในฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย โดยเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในอุตสาหกรรม เข้าร่วมส่งโครงการที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรของตนไปสู่ดิจิทัล อันจะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศไทย โดยแบ่งการนำเสนอโครงการเป็น 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ ที่พักอาศัย อาคารและเมือง อุตสาหกรรม และไอที ผู้ชนะเลิศในแต่ละประเภท จะได้รับแพคเกจทัวร์เยี่ยมชมอาคารประหยัดพลังงานระดับโลกของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ณ ประเทศฝรั่งเศส นอกจากนี้ ทุกๆ 1 โครงการที่ส่งเข้ามาประกวด มีค่าเท่ากับโคมไฟโมบิยาพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 10 ดวง ที่ทาง ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะนำไปมอบให้กับพื้นที่ในประเทศไทยที่พลังงานเข้าไม่ถึงพลังงานอีกด้วย สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.schneider-electric.co.th/seth40

“ในกระบวนการเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ไม่ได้เพียงหากลยุทธ์ในการผลักดันลูกค้า หากแต่เริ่มจากการพัฒนาองค์กรของตัวเองก่อน เพื่อเป็นต้นแบบให้กับลูกค้าในการขับเคลื่อนสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคง ยั่งยืนควบคู่กันไปด้วยกัน” นายมาร์ค กล่าวสรุป