ฉลอง 14 ปี ดี-แลนด์ฯ โชว์แผนปี 59
เผยยอดขายปี 58 ทะลุเป้า 1,200 ล้านบาท เตรียมรับมืออสังหาฯ ปีวอก ชูกลยุทธ์บุกทุกเซกเมนต์ บริหารความเสี่ยง ปักหมุดกินรวบโซนพระราม 2 พร้อมบุกทำเลฮอตศรีราชาต่อเนื่อง ตั้งเป้ายอดขาย 1,300 ล้านบาท เติบโตอีก 10%
นายศิริพงษ์ สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี-แลนด์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดงาน “14 ปี ดี-แลนด์ฯ” เพื่อเป็นการประกาศฉลองความสำเร็จของดี-แลนด์ กรุ๊ป ที่ได้รับความไว้วางใจมาโดยตลอด 14 ปี ผ่านโครงการที่ประสบความสำเร็จไปแล้ว 16 โครงการ เกือบ 2,000 ยูนิต อาทิ บ้านยอดนิยมในตระกูล เดอะพราว และโครงการบ้านดี ในทำเลศักยภาพต่างๆ รวมทั้งผลงานมาสเตอร์พีซอย่าง พอร์โต้ วิลล่า และ พอร์โต้ ชิโน่ (Porto Chino) ที่สุดของไลฟ์สไตล์สมุทรสาคร เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นการขอบคุณแก่ลูกบ้าน และทุกคนในชุมชนที่ให้โอกาสและไว้วางใจบริษัทฯ มาโดยตลอด ซึ่งในวันนี้ นอกจากจะมีโชว์มินิคอนเสิร์ตจากศิลปินดารายอดนิยมแล้ว ยังมีอีกหนึ่งกิจกรรมไฮไลท์ ได้แก่ การจับรางวัลแจกรถมอเตอร์ไซด์ยี่ห้อ Honda Scoopy I จำนวน 30 คัน รวมมูลค่ากว่า 1,400,000 บาท พร้อมกิจกรรมบันเทิงอีกมากมาย
“สำหรับดี-แลนด์ กรุ๊ป ในปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558สามารถทำยอดรับรู้รายได้ทะลุเป้า 1,200 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2557 ถึง 52% และในปี 2559 บริษัทฯ ได้วางทิศทางการพัฒนาอสังหาฯ ไว้โดยจะมีการปรับสัดส่วน Product ใหม่ แบ่งเป็นกลุ่ม Residential 45% ซึ่งประกอบด้วยโครงการแนวราบ และคอนโดมิเนียม ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะเป็น Product for Investment 45% ซึ่งส่วนนี้จะมุ่งไปในโซนของศรีราชา และยังมี Product ที่เป็นรายได้ประจำหรือ Recurring Income อีก 10% เพื่อเป็นการกระจายการลงทุน บริหารความเสี่ยง และทำให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามเป้าที่วางไว้ พร้อมตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นอีก 10%
สำหรับสัดส่วนรายได้ในปีนี้จะมาจาก Backlog ที่สะสมอยู่ในมืออีกประมาณ 250 ล้านบาท และจำนวนยูนิตเหลือขายอีกกว่า 886 ล้านบาท จาก 5 โครงการ ได้แก่ เดอะพราว พระราม 2 , บ้านดี เศรษฐกิจ,
บ้านดี เอกชัยพลัส, บ้านดี บางโทรัด, ดีคอมเพล็กซ์ ศรีราชา – นิคมปิ่นทอง 1 และจะมาจากโครงการใหม่ๆ ที่กำลังจะเปิดตัวในปีนี้อีกอย่างน้อย 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,550 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ The Proud พระราม 2-พันท้ายฯ ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนพื้นที่โครงการรวมประมาณ 31 ไร่ จำนวน 110 ยูนิต แต่ละยูนิตครบครันด้วยฟังก์ชั่นที่สามารถตอบรับกับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ ประกอบด้วยแบบ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยรวม 204 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นที่ 4.3 ล้านบาท และแบบ 4 ห้องนอน 3 ห้อง น้ำ พื้นที่ใช้สอยรวม 238 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นที่ 4 – 6 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 550 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวภายในไตรมาสแรกของปีนี้
สำหรับอีกโครงการหนึ่งที่กำลังจะเปิดในปีนี้เช่นกัน คือ โครงการ D Town ศรีราชา โครงการประเภท Mix Use ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ติดสวนเสือศรีราชา และเพียง 2 นาทีจากมอเตอร์เวย์ – ถนนสาย 331 – บายพาสอินโดจีน ทำให้สะดวกสบายในทุกการเดินทาง บนเนื้อที่โครงการรวม 24 ไร่ ประกอบด้วย Porto Market, D Complex, D Park คอนโดมิเนียม และการให้บริการในรูปแบบ Service Apartment ที่บริหารจัดการแบบครบวงจร มูลค่าโครงการรวม 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงไตรมาสแรกของปีเช่นกัน
สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจและอสังหาฯ ของจังหวัดสมุทรสาครและโซนศรีราชา ศิริพงษ์ มองว่า สำหรับสมุทรสาคร ยังเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพที่ดี เนื่องจากเป็นเมืองที่ติดต่อกับกรุงเทพ รองรับการขยายจากกรุงเทพมาตามแนวถนนพระราม 2 และถนนเพชรเกษม เป็นจังหวัดที่มีเศรษฐกิจดีมายาวนาน แต่ในระยะสั้นๆ ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบจากกติกาสากล ที่มีความเข้มงวดรุนแรงในเรื่องแรงงานผิดกฎหมาย รวมถึงสถานการณ์การส่งออกที่หดตัวลงจากเศรษฐกิจโลก จึงทำให้ในระยะสั้นเศรษฐกิจสมุทรสาครได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ในระยะยาวยังเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูง ส่วนทางด้านของชลบุรี เป็นเมืองที่มีศักยภาพสูงมากในอันดับต้นๆ ของประเทศ มีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจหลายด้าน ทั้งการท่องเที่ยว และการตั้งนิคมอุตสาหกรรมที่มากที่สุดในประเทศ มีท่าเรือแหลมฉบังซึ่งเป็นท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่สุดของไทย ซึ่งแม้จะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ก็ยังมีอนาคตที่ดี มีโครงการเมกะโปรเจคหลายโครงการ ที่จะส่งผลทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต
“โดยรวมแล้วมองว่าในปีนี้ตลาดอสังหาฯ ยังมีปัจจัยบวกอยู่ ซึ่งเป็นการทำงานที่ท้าทายสำหรับบริษัทฯ ในการช่วงชิงโอกาสจากปัจจัยบวกดังกล่าวมาพัฒนา และบริหารธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ ซึ่งจะต้องศึกษา และเตรียมแผนการรับมือโดยพิจารณาทั้งทำเล รูปแบบของโครงการ และเรียลดีมานด์ที่มีอยู่จริง ในทำเลนั้นๆ โดยกลยุทธ์ของ ดี-แลนด์ กรุ๊ป ในปีหน้าคือ เน้นการกระจายการลงทุน และแบ่งสัดส่วนการพัฒนาสินค้าตามความต้องการของตลาด ซึ่งจะเป็นแนวทางในการเดินหน้าสู่เป้าหมายของเราต่อไป” ศิริพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย