“จุดเริ่มต้นของจริงใจครีเอชั่น มาจากตอนที่ฝนอายุ 26 ปี ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบปริญญาโทใหม่ๆ และงานประจำที่ทำอยู่ตอนนั้นคือการเป็นโปรดิวเซอร์รายการทีวีรายการหนึ่ง ซึ่งด้วยความที่ตัวเองชอบทำอะไรหลายอย่างและชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เราเลยรู้สึกเบื่องานประจำและอยากทำอะไรเป็นของตัวเอง และอาจจะเป็นจังหวะที่ดีของฝนที่ได้เจอกับพี่คนหนึ่งซึ่งแกก็มีครอบครัวและแกกำลังหาอะไรที่ทำเป็นของตัวเอง เราเลยตัดสินใจออกจากงานประจำทั้งคู่และจดทะเบียนบริษัทซึ่งตอนแรกไม่ใช่จริงใจครีเอชั่น แต่จดเป็นอีกชื่อหนึ่ง ต้องบอกก่อนว่าฝนเองตลอดชีวิตการทำงานที่ผ่านมาไม่เคยทำอาชีพพีอาร์มาก่อนประสบการณ์การทำงานของฝนจะเป็นการผ่านงานด้านนิตยสาร วิทยุ และโทรทัศน์มา ด้วยความที่เราเรียนนิเทศศาสตร์มาเรามองว่าทุกศาสตร์มันคือภาพเดียวกันอยู่ที่เราจะเล่าเรื่องอย่างไรให้ผู้รับสารเข้าใจ ฉะนั้นต้องบอกว่าจุดเริ่มต้นของฝนอาจจะต่างจากผู้บริหารบริษัทเจ้าอื่น สิ่งที่ฝนมั่นใจคือใจ และความจริงใจที่เราตั้งใจทำงานให้กับลูกค้า นั่นคือแนวทางในการทำงานของฝน และด้วยความโชคดีของฝนเพราะหลังจากเปิดบริษัทได้เพียง 7 วัน เราก็ได้รับการเซ็นสัญญาใบที่1 ของบริษัทเรา จากคุณต๊อบ-อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ CEO ผู้ก่อตั้ง บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ฝนปลื้มใจมาถึงทุกวันนี้ ย้อนไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเราแค่คนทำงานเบื้องหลังคนหนึ่ง ขายงานก็ไม่เป็นเพราะทำแต่งานเบื้องหลัง และเป็นผู้สื่อข่าวอย่างเดียว แต่ ณ วันที่เราได้รับเกียรติจากคุณต๊อบเราพรีเซนท์การทำงานของเราเต็มที่ คือในใจก็คิดว่าได้ไม่ได้ไม่เป็นไร แต่เราทำให้เต็มที่ในส่วนของเรา เขาจะซื้อหรือไม่ซื้อมันอยู่ที่ตัวเขาแล้วล่ะ ปรากฏว่าหลังจากพรีเซนท์เสร็จ คุณต๊อบตกลงซื้องานของฝน ซึ่งความรู้สึก ณ ตอนนั้นดีใจมากๆ และสิ่งที่ฝนจำไม่เคยลืม คุณต๊อบบอกว่าเหตุผลที่เขาซื้องานฝนเพราะเขามองเห็นความจริงจังและความตั้งใจจากแววตาที่มุ่งมั่น เพราะเขาเข้าใจความรู้สึกนั้นดี เมื่อตอนที่เขาเสนอขายสาหร่ายทอดให้กับร้านค้าย่านเยาวราชสมัยที่ทำธุรกิจใหม่ๆ เขาเชื่อว่าเราจะประสบความสำเร็จเพราะเราตั้งใจและมุ่งมั่น ซึ่งต้องบอกว่าคุณต๊อบนี่มีบุญคุณกับฝนมาก จะกี่ปีฝนก็ไม่เคยลืมเลย โอกาสในวันนั้นที่คุณต๊อบให้มันถึงทำให้ฝนอดทนและพาจริงใจครีเอชั่นมาถึง 7 ปี เพราะใบเสนอราคาใบแรกที่คุณต๊อบเซ็น” คุณฝน- ศิริลัคณา เอียดวิจิตร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จริงใจ ครีเอชั่น จำกัด เล่าเรื่องราวความเป็นมาของบริษัทที่เธอสร้างขึ้นเองด้วยแววตาแห่งความภาคภูมิใจ
บริษัทจริงใจ ครีเอชั่น ในวันนี้ เข้าสู่ปีที่ 7 แล้ว ด้วยวิสัยทัศน์ในการใช้ใจทำงานจริงๆ จะบุกป่าฝ่าดงก็ไม่เกี่ยงของผู้บริหารสาวคนเก่ง ซึ่งแม้จะมีอุปสรรคเข้ามาบ้าง แต่เธอก็ยังยืนหยัดที่จะนำประสบการณ์จากงานเบื้องหลังในวงการสื่อมาใช้กับงานพีอาร์ เพื่อรับมือกับโลกในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นในปัจจุบัน
จากงานเบื้องหลัง สู่เจ้าของบริษัทพีอาร์
ต้องบอกก่อนว่าตอนแรกเราไม่ได้ชื่อ จริงใจ ครีเอชั่น คือปีแรกของฝนกับการทำบริษัทของตัวเอง ถ้ามองในแง่ของกำไรต้องบอกว่าดีเลยค่ะ เพราะเราทำเองแทบทุกอย่างด้วยความที่ตอนนั้นอายุยังน้อย ขายงาน คิดงาน ประสานสื่อ ทำเองหมด บางครั้งลูกค้าให้ทำงานอีเว้นท์ด้วย ฝนรับหมดและคุมคนเดียว คือ ถ้าเป็นเรื่องของงานสบายมากสู้ตาย แต่พอเรื่องการบริหารจัดการเรื่องเงินนี่คือไม่ดีเลย บริษัทติดลบ เป็นหนี้ พี่หุ้นส่วนแกก็ต้องกลับไปทำงานกับครอบครัว ซึ่งถือว่าเป็นวิกฤติของฝนพอสมควร ถ้าเป็นคนทำธุรกิจจะรู้ว่าเมื่อเราทำไประยะหนึ่ง หากประสบปัญหาจะมีทางเลือกให้เรา 2 ทางคือเดินหน้าต่อหรือถอยหลัง ช่วงนั้นก็มีเจ้านายเก่ามาชวนให้กลับไปทำงานประจำ เราเองก็ชั่งใจนะ แต่ตอนนั้นคือมีหนี้จากการลงทุนทำบริษัทแล้ว และเราก็รู้สึกว่าทำไมต้องเป็นหนี้ ทั้งๆที่เราคิดว่ามันน่าจะได้กำไร ก็เลยมองหาสาเหตุ จนในที่สุดเราก็ตัดสินใจเดินหน้าไม่หันหลังกลับไปทำงานประจำ และไม่มีหุ้นส่วนเราลุยคนเดียว โดยจ้างพนักงาน 2 คน และก็น่าตลกที่คนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยตอนที่เราล้ม ซึ่งตอนนั้นบริษัทเปิดได้ประมาณหนึ่งปีก็เป็นเถ้าแก่น้อยอีก เพราะโอกาสจากคุณต๊อบ เถ้าแก่น้อย ที่ให้ฝนทำงานทำให้ฝนสามารถเอาเงินมาใช้หนี้หมดเลย แล้วเริ่มต้น จากนั้นมันก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ผ่านมาเข้าสู่ปีที่ 7 แล้ว
จะบอกว่าด้วยความที่ผ่านประสบการณ์ทำงานสื่อมารอบด้าน ทำให้จริงใจเป็นพีอาร์ที่ไม่เหมือนใคร?
อาจจะเป็นความโชคดีของฝนที่มีประสบการณ์การทำงานที่หลากหลายในด้านวิชาชีพสื่อ ซึ่งแน่นอนว่าทุกอาชีพในสายนิเทศศาสตร์ต้องมีความครีเอทีฟ เวลาที่ออกไปขายงาน เราเลยไม่ได้มองแค่เรื่องของพีอาร์ แต่เรามองเห็นโอกาสทุกอย่างที่สามารถสร้างงานที่ดีให้กับลูกค้าได้ เราเอาความครีเอทีฟเข้ามาต่อยอดกับพีอาร์ ทุกวันนี้ฝนก็จะบอกน้องๆที่เข้ามาตลอดนะว่าเราไม่ใช่พีอาร์ แต่เราเป็นครีเอทีฟพีอาร์ เวลาทำงานเนี่ยเราจะวิเคราะห์จากข้างนอกด้วย สมมุติว่ามีลูกค้าที่ทำเครื่องสำอางเข้ามา เราถึงขั้นว่าออกไปทำ R&D ให้ลูกค้า ด้วยการไปคุยกับแม่ค้าตามตู้จำหน่ายเครื่องสำอางอะไรแบบนี้เลยนะ คือจำเป็นต้องรู้อินไซท์ขนาดนั้น ฝนก็ไม่แน่ใจนะคะว่าพีอาร์ที่อื่นเค้าทำแบบนี้รึเปล่า แต่สำหรับจริงใจครีเอชั่นแล้ว เราลงลึกถึงดีเทลมากๆ ก็เป็นไปตามชื่อบริษัทแหละค่ะ เพราะเราเป็นจริงใจ คือจริงๆแล้วคำว่าจริงใจเนี่ย จริงๆมันแย้งกับงานพีอาร์นะ พีอาร์มันคือการสร้างภาพอะไรแบบนี้ แต่เราต้องการเล่นคำว่าการสร้างภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้วความจริงใจสำคัญที่สุด เราสร้างภาพไปแต่ลูกค้าไม่สามารถจับต้องความจริงใจที่เราต้องการนำเสนอ การพีอาร์ก็ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ อย่างบุคลิกฝนนี่ก็คือ ปกติแล้วจะไม่มีใครรู้เลยว่าเราเป็นเจ้าของบริษัท เราชอบที่จะอยู่ข้างหลัง ไม่ชอบออกงานสังคม ไม่ใช่แบบจ๊ะจ๋า แต่เมื่อพี่น้องผู้สื่อข่าวมางานฝนเต็มที่ ดูแลใส่ใจให้ความสำคัญกับทุกๆคนเรื่องงานฝนลงดีเทลคือจริงจังมากๆ จุดแข็งของพีอาร์ฝนว่าเราต้องรู้จริง ต้องสื่อสารเป็น และต้องรับผิดชอบคำพูด พี่ๆน้องๆสื่อมวลชนน่ารัก แค่เราเข้าใจสิ่งที่เรานำเสนอ และตอบคำถามหรือให้ข้อมูลที่สามารถเป็นข่าวได้ ที่สำคัญต้องไม่ผัดวันประกันพรุ่ง มีมารยาท มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ฝนว่าความสำเร็จในอาชีพพีอาร์ก็ไม่ได้ไกลเกินฝัน
ลูกค้าของจริงใจครีเอชั่น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มไหน?
จริงๆเรามีลูกค้าอยู่ทุกกลุ่มนะคะ หรือถ้าจะแยกเป็นกลุ่มใหญ่ก็คือ มีทั้งราชการและเอกชน อย่างราชการเนี่ย เราก็มีลูกค้าอยู่ในเกือบทุกกระทรวงนะ เพราะอย่างที่บอกคือเราทำทั้งพีอาร์ อีเวนท์ แล้วก็ผลิตสารคดีด้วย ส่วนของเอกชนเนี่ย ก็มีลูกค้าทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหาร บริการ หรือเครื่องสำอางความสวยความงามอะไรแบบนี้ แล้วก็มีลูกค้าทุกขนาด ตั้งแต่บริษัทใหญ่ ไปจนถึง SME ที่เพิ่งเริ่มตั้ง อย่าง CP เนี่ย เค้าก็ให้โอกาสเรามาโดยตรงเลยนะ ไม่ได้ผ่านเอเจนซี่ ก็ทำให้เค้ามาหลายปีแล้วนะคะ หรือแม้กระทั่ง SME ที่เปิดใหม่ซึ่งในตลาดก็มีอยู่หลายแบรนด์ คือจริงๆแล้วฝนชอบอะไรที่ใหม่ๆนะ แบบว่าลูกค้าไม่เคยทำอะไรมาก่อนเลย ให้เรามาดูแลเรื่องสร้างแบรนด์ที่แรก อันนี้ถือเป็นความท้าทายของจริงใจครีเอชั่น เลยนะ คือเราจะไม่ใช่แนวแบบพีอาร์จ๋า เน้นส่งข่าวหรืออะไรแบบนี้ แต่เราจะช่วยคิด วางแผน คือไม่ได้ทำตามสั่งอ่ะค่ะ พีอาร์บางที่อาจจะเน้นสร้างข่าว ขายประเด็นนู่นนี่นั่น แต่เรามองในเรื่องของการขายการตลาดมากกว่า เพราะเวลาที่ลูกค้าเข้ามาจ้างเราเนี่ย สิ่งที่เค้าหวังก็คือการมีชื่อเสียงให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก แต่พอมีชื่อเสียงแล้วต่อจากนั้นคืออะไร ซึ่งถ้าเป็นงานพีอาร์เลยจริงๆก็จะคิดแค่ว่าต้องชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักนะ แต่ไม่ได้คิดต่อว่าแล้วลูกค้าจะขายได้มั้ย ส่วนเราคิดข้ามสเต็ปไปจนถึงขั้นที่ว่าแล้วลูกค้าจะขายได้มั้ยกับสิ่งที่เราทำไป หรือแมสเสจเหล่านี้มันใช่มั้ย แล้วผลตอบรับได้กลับมาก็ดี คือลูกค้าหลายๆรายจะบอกว่าฟีดแบคกลับมาดี นี่ก็คือความสำเร็จของเรา
ชอบลูกค้าที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ?
ใช่ค่ะ เพราะเหมือนเราได้เริ่มต้นไปกับเค้านะคะ บางคนเนี่ยเข้ามาหาฝน เค้าไม่ได้มีเงินเยอะ หรือบางคนเราเข้าไปนี่คือไม่รู้เรื่องกราฟฟิคเลย แล้วเราก็เข้าไปทำงานกับเค้าตั้งแต่แรก คือเหมือนเราได้นับหนึ่งมาด้วยกัน พอนับหนึ่งมาด้วยกันเนี่ย ฉะนั้นก็คือเป้าหมายของเราด้วย จริงอยู่ที่การทำธุรกิจมันก็ต้องได้เงิน แต่มากกว่านั้นก็คือวันที่ลูกค้าประสบความสำเร็จ ฝนเองก็พูดได้เต็มปากว่าเป็นเพราะเรา อันนั้นฝนชอบมากนะ คือแบบถ้าเป็นลูกค้าใหม่ๆมาเนี่ย ขอให้มาหาเราเถอะ เราโอเคมาก คืออยากทำให้เค้าประสบความสำเร็จ แล้วเราก็โตไปกับเค้าประมาณนี้ค่ะ เรื่องเงินจะมากหรือน้อยฝนไม่ได้แคร์เลยนะ เพราะครั้งนึงที่เราเคยเริ่มทำธุรกิจมา เราก็เป็นแบบนี้ ฝนเลยมองว่าความสำเร็จมันก็คือตรงนั้น ฝนมองว่าทุกคนก็ต้องเริ่มจากนับหนึ่งไง ฉะนั้นเราก็อยากเริ่มต้นนับหนึ่งไปกับเค้า แล้วพอได้เห็นลูกค้าเติบโตขึ้นได้เราเองก็แฮปปี้ไปด้วย
พอจะยกตัวอย่างได้ไหมว่าแฮปปี้กับงานไหนมากที่สุด?
ถ้าตอบว่าทุกงานนี่จะดูโลกสวยไปไหม (หัวเราะ) อันนี้คือพูดจริงๆนะ เรารู้สึกว่าทุกงานคือความตั้งใจ ฝนตั้งใจกับทุกงานจริงๆ คือเหมือนจะฟังดูโลกสวยนะ แต่มันคือเรื่องจริง ฝนจะอินกับทุกงานไม่ว่างานเล็กหรืองานใหญ่ จะจ้างหลักหมื่นเราก็ตั้งใจ หลักแสนเราก็ตั้งใจ น้องๆที่นี่ทุกคนถูกปลูกฝังเรื่องของความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ฝนจะพูดเสมอว่า 1 บาทที่ลูกค้าจ้างมันมีค่ามาก เพราะเขาเชื่อใจเรา เขาฝากความหวังไว้กับเรา ฝนและลูกน้องทุกคนจะตั้งใจและทุ่มเทกับทุกงาน ฉะนั้นคือทุกงานที่เราทำ เราก็รู้สึกภูมิใจกับมันทั้งหมด ไม่มีว่างานนี้ดังแล้วเราภูมิใจมากกว่า หรืองานนี้ไม่ดังเราเลยไม่ภูมิใจ แบบนี้ไม่มี เพราะเวลาทำงานเนี่ย เราก็ลุยกันทุกคนจริงๆ จะขึ้นเหนือลงใต้ ตากแดดตากฝน เราไม่เกี่ยง อันนี้คือความเป็นจริงใจ อย่างที่บอกแหละค่ะว่าเราเป็นได้ทุกอย่าง แล้วก็ภูมิใจกับทุกๆงานที่ทำ คืออาจจะไม่ได้ดูสวยหรูในคำพูดนะคะ แต่ในทางปฏิบัติคือเรามั่นใจว่าสุดท้ายแล้วผลงานที่ออกมา มันมีคุณค่าและลูกค้าก็พอใจกับมัน นั่นคือปลายทาง คือนี่ไม่ได้พูดเองนะแต่ผลตอบรับจากลูกค้ามาเป็นแบบนั้น เค้าแฮปปี้กับงานเรา เราก็ถือว่าเราก็ประสบความสำเร็จแล้ว
สินค้าของลูกค้าแต่ละรายก็จะแตกต่างกัน มองยังไงว่าจะใช้วิธีทำพีอาร์แบบไหน
สินค้าในหนึ่งแบรนด์เนี่ย ฝนมองไปที่ทาร์เก็ตของเค้านะคะ ว่าทาร์เก็ตคืออะไร เช่นบางทีลูกค้าวางทาร์เก็ตไว้ที่คนธรรมดาทั่วๆไปแต่กลับตั้งราคามาสูง อันนี้ก็จะทำให้ขายยากนะ ฉะนั้นคือเราก็ต้องมีความรู้ในเรื่องของการตลาดเข้ามาด้วย คือบางทีถ้าคุณตั้งราคามาแพงเนี่ย นั่นแปลว่าคุณก็ต้องมีทาร์เก็ตที่ชัดเจนมาอยู่แล้วนะ คือเราต้องมีความรู้ในเรื่องของการตั้งราคาอะไรแบบนี้ด้วย ซึ่งฝนเองตอนนี้ก็กำลังพัฒนาตัวเองในด้านนี้อยู่ คือเรามาจากครีเอทีฟมาจากสื่อค่ะ งานเรื่องบริหารนี่จะไม่รู้เรื่องเลย ปัจจุบันฝนก็กำลังเรียนต่อด้านบริหารที่นิด้า ก็ใกล้จะจบแล้ว เพื่อมาทำตรงนี้เลยโดยตรง คือปี 2018 เราตั้งใจจะรีแบรนด์ตัวเองเป็น JJC Group ด้วยค่ะ คือ บริการของเรานอกจากเรื่องของพีอาร์ซึ่งเป็นจุดแข็งมากๆแล้วเรายังมีบริการทางด้านการจัดอีเวนท์ งานนิทรรศการ การรับผลิตสื่อวิทยุ-สื่อโทรทัศน์ รวมไปถึงการทำออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง และที่แตกสาขาออกมาคือการทำสำนักข่าวออนไลน์ซึ่งตรงส่วนนี้สามีจะเป็นคนบริหาร
สาเหตุที่จะรีแบรนด์จากจริงใจ ครีเอชั่น เป็น JJC Group?
เพราะจริงใจครีเอชั่นเนี่ยอยู่มา 7 ปีแล้วค่ะ และตลอด 7 ปีที่ผ่านมาเนี่ยเราบริการกันมาแบบลูกทุ่ง คือถ้าถามว่าเราอยู่ได้ไหมตอนนี้ ก็คืออยู่ได้ค่ะ แต่ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ เป้าหมายของฝนวันนี้ก็คือเราเองก็ไม่ได้คิดอะไรแบบเดิมอีกแล้ว คือหลังจากแต่งงาน ฝนก็ได้สามีเข้ามาช่วยในเรื่องของการบริหาร ทำให้เรามองเป้าหมายไปไกลมากขึ้น จากเมื่อก่อนคิดคนเดียวแต่ตอนนี้มีคู่คิดเราก็ขยายและปรับปรุงบริษัทมากขึ้น ตอนนี้เรารีแบรนด์ทั้งองค์กร มีการทำออฟฟิศใหม่ ปรับโครงสร้างบริษัทชัดเจน จากที่เมื่อก่อนคิดเองขายเอง แต่เดี๋ยวนี้เรามีเซลส์ขายงาน มีแผนผังการทำงานชัดเจนขึ้นค่ะ น้องๆที่บริษัทเราก็มีการส่งเสริมเรื่องของความรู้ ใครอยู่กับเราครบ 5 ปี เราก็จะให้ทุนศึกษาต่อ คือ เรามองว่าบุคลากรด้านบุคคลสำคัญมาก เมื่อพนักงานดีงานดีๆก็จะมาค่ะ
มองไปที่ตลาดประเทศเพื่อนบ้านด้วย?
มองค่ะมอง ก็คือพอมีเรื่องของ AEC เข้ามาเนี่ย เราก็กลับมามองที่ตัวเอง อยากจะพัฒนาตัวเองก่อน คือรู้สึกว่าเรื่องของภาษามันเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องพัฒนามากขึ้น ตอนนี้ก็มีลูกค้าเจ้าหนึ่งที่เค้าจะไปทำตลาดที่เวียดนาม ส่วนตัวฝนเองก็อยากเข้าไปทำตลาดที่ลาว พวกพีอาร์หรืออีเวนท์อะไรพวกนี้ เราก็จะเริ่มเรียนรู้กันไปจากตรงนั้นค่ะ
สัดส่วนงานระหว่างงานพีอาร์กับอีเวนท์
สำหรับงานพีอาร์นี่ก็ประมาณ 50% อีเวนท์ก็น่าจะซัก 20% และอีก 10% ก็เป็นเรื่องของโปรดักชั่น ผลิตโฆษณา ทำสปอตวิทยุโทรทัศน์ ส่วนอีก20% ในอนาคตก็อาจจะเป็นโซลูชั่นใหม่ของบริษัทซึ่งก็คือเรื่องของออนไลน์ค่ะ คือตั้งเป้าไว้ว่าหลังจากรีแบรนด์แล้วเราก็จะมีเซอร์วิสที่ครอบคลุมมากขึ้น อย่างเรื่องของออนไลน์โซลูชั่นเนี่ย ตอนนี้เราจะมีลูกค้าที่แบบขอให้เราวางกลยุทธ์เรื่องของออนไลน์ให้หน่อย เราก็จะทำในเรื่องของคอนเทนต์ให้เค้าด้วย แล้วก็มีพวกการวาง Influencer, Blogger ในแต่ละกลุ่มสินค้าเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์และยอดขายให้กับลูกค้า
คิดว่าออนไลน์กำลังมาแรง สำหรับการทำพีอาร์?
คนทั่วไปอาจจะมองว่าสื่อออนไลน์กำลังมาแรงอยู่เลย แต่สำหรับฝนนะ ฝนว่าการสร้างแบรนด์ขึ้นมาหนึ่งแบรนด์นี่ออนไลน์อย่างเดียวมันอาจจะได้แค่ความฉาบฉวยและความเร็ว โอเคจริงอยู่ที่มันลงทุนน้อย มันไว แต่ว่าถ้ามองถึงความยั่งยืนและคุณค่าที่ผู้บริโภคจะให้กับแบรนด์เนี่ยฝนว่าน้อยนะ และการสร้างความยั่งยืนและคุณค่าต่อแบรนด์เนี่ยก็ยังจำเป็นต้องใช้ Traditional Media ก็คือใช้ตาดูหูฟังเหมือนเดิม ฝนว่ายังไงคนก็คือคน คอนซูเมอร์ก็คือ คอนซูเมอร์ ถ้าจะเอาเทรนด์เอากระแสก็คือออนไลน์ แต่ถ้าจะพูดเรื่องของการสร้างแบรนด์ให้ยั่งยืน ฝนก็ยังมองว่ามันจำเป็นต้องใช้ทุกสื่อ 360 องศาเหมือนเดิม คือถ้าเป็นจริงใจครีเอชั่นนะ ถ้าขายงาน จริงใจครีเอชั่นจะบอกกับลูกค้าแบบนี้ค่ะ จริงๆ ถ้าจะเอาง่ายเราขายแบบออนไลน์ก็ได้ เชียร์ออนไลน์อย่างเดียวเลย แต่เรื่องความยั่งยืนมันไม่ได้ ไม่งั้นแบรนด์ที่ขายในออนไลน์จะกระโดดมาออฟไลน์กันทำไม จะสังเกตได้ว่าหลายๆแบรนด์ อย่างแบรนด์ที่เราดูแลอยู่ในปัจจุบันก็มี นีออน ไวท์ ไทยแลนด์ คือเป็นแบรนด์ที่เติบโตในออนไลน์มา 100% เลย แล้วก็โตมากด้วยแต่วันนี้ก็ลุกมาทำออฟไลน์เสริมเพื่อความแข็งแรงและความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
แล้วคุณฝนคิดว่าอนาคตของสื่อจะเป็นอย่างไรต่อไปคะ?
ตามความจริงที่เกิดอยู่ตอนนี้ก็คือ สิ่งพิมพ์ก็คงจะหายไปเรื่อยๆนะคะ เพราะทุกคนเริ่มเปลี่ยนมาใช้ออนไลน์กันหมด คือออนไลน์เนี่ยจะมีอิทธิพลมากขึ้น อันนี้เรามองในแง่ของธุรกิจนะคะ แต่ถ้ามองในแง่ของคุณค่าและความยั่งยืนก็จะกลับไปที่คำถามเมื่อกี้ ฝนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนะ แต่พอมันเกิดการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว ตัวเราเองก็ต้องพัฒนาตามขึ้นไป คือเราก็ไม่ได้ปิดรับนะ แต่ถ้าถามถึงคุณค่าเนี่ยสำหรับตัวฝน ฝนก็ยังคิดว่ามันยังเป็นสื่อหลักอยู่
การเปลี่ยนแปลงพวกนี้ส่งผลกระทบอะไรกับเราบ้างไหม
ก็กระทบกับเรามากเหมือนกัน แต่ถ้าเรามองถึงผลกระทบก็อย่างที่บอกแหละ เราจะมัวนั่งอยู่เฉยๆไม่ได้ เราเองก็ต้องพัฒนาตัวเองตาม คืออาจจะมีแผนกออนไลน์แยกออกมาเลย แต่ออนไลน์เอาจริงๆถ้าเอาเป็นเรื่องเป็นราวแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะ คือเว็บไม่ได้ทำยากหรอกค่ะ แต่ถ้าทำให้ดีมันยาก คือระบบหลังบ้านอะไรที่มันเยอะมาก แล้วเราเองก็อยากจะให้ออกมาดีที่สุด สำหรับเรื่องของการเขียนคอนเทนท์เราก็กำลังขยับขยายเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทุกรูปแบบ
ตอนทำงานมีปัญหาอะไรที่น่าหนักใจบ้างไหมคะ?
ปัจจุบันนอกจากเรื่องของเทคโนโลยี จะมีเรื่องของการตัดราคา คือในวงการนี้ มีบริษัทแบบเราเยอะมาก แต่ละคนก็มีจุดอ่อนจุดแข็งเป็นของตัวเอง ซึ่งของฝนเนี่ย สิ่งที่ทำให้เราอยู่มาได้ หนึ่งคือคุณภาพของงาน และราคาซึ่งก็ไม่ได้แพงเวอร์จนลูกค้าจับต้องไม่ได้ ส่วนการวางกลยุทธ์หรืออะไรต่างๆเนี่ย เราก็มั่นใจว่าเราวางได้ แล้วไม่ใช่แบบแค่ทฤษฎี ในเชิงปฏิบัติมันก็เป็นไปได้ แต่ก็เข้าใจนะด้วยสภาพเศรษฐกิจ ลูกค้าเองก็ต้องเลือกที่ถูกกว่า ถ้าถามฝนถึงเรื่องที่น่าหนักใจในวงการพีอาร์ ก็คือเรื่องการตัดราคานี่แหละค่ะ แต่ฝนว่ามันคงไม่ได้กระทบกับฝนแค่คนเดียวนะ ทุกบริษัทก็อาจจะต้องเจอแบบนี้เหมือนกัน
ปัญหานี้คือเพิ่งเจอ หรือมีมานานแล้ว?
อาจจะนานแล้วนะคะ คือฝนไม่รู้หรอก เวลาทำงานเราก็เองจะโฟกัสแต่กับงานที่เราทำ โฟกัสไปที่เป้าหมายของเรา เป้าหมายของจริงใจ ครีเอชั่น ฝนมองแค่ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ จะไม่มองว่าคนนั้นยังไง คนนี้ยังไง หรือต้องไปไล่ตามคนนู้นคนนี้ เพราะเรารู้สึกว่าแต่ละคนก็มีการเดินทางที่แตกต่างกัน ที่รู้มาก็เพราะมีพี่ๆ มาบอก อย่างที่บอกไงคะว่าเราชอบการนับหนึ่ง เราจะไม่เดินตามหลังใคร เราสร้างของเราขึ้นมา ฉะนั้นคือลูกค้าหลายๆเจ้าที่เราปั้นขึ้นมามักจะโดนโฉบไปค่อนข้างเยอะ อันนี้คือเป็นปัญหาเหมือนกัน แต่ว่าสุดท้ายเราก็ไม่ได้โทษลูกค้า ไม่ได้โทษใคร ก็ถือว่าถ้าเราทำดีที่สุด ลูกค้าก็คงไม่ไปจาก สรุปคือเรามองว่าทุกปัญหาคือโอกาสที่ทำให้เราหันกลับมามองตัวเองและปรับปรุงตัวค่ะ
ความท้าทายของปัญหาที่เจอ นอกจากการตัดราคาแล้ว ยังมีเรื่องของเทคโนโลยีด้วย?
ใช่ค่ะ ปัจจุบันนี้พอออนไลน์มาแรงเนี่ย ต้องยอมรับว่าสื่อเก่าเนี่ยก็จะถูกลดบทบาทลงมาก หมายความว่าเม็ดเงินหนึ่งก้อนถ้าถูกเอามาใช้กับพีอาร์เนี่ย ลูกค้าอาจจะรู้สึกว่าออนไลน์เข้าถึงได้มากกว่า แต่ในจุดที่เรามองมันมีทั้งข้อดีข้อเสียนะ คือในส่วนของออนไลน์ ก็อาจจะมาเร็วไปเร็วหน่อย แต่สำหรับเรา ในสงครามออนไลน์แบบนี้เราจะปรับตัวยังไง เราก็เลยปรับตัวตาม เราก็เลยมีเซอร์วิสที่เราทำขึ้น คือเราทำสำนักข่าวของตัวเองด้วย ชื่อสำนักข่าวปากต่อปาก ก็ตอนนี้กำลังกันพัฒนาอยู่ตอนนี้ และในอนาคตก็จะมีเรื่องของแพลตฟอร์มที่จะเป็นออนไลน์มากขึ้นเพื่อที่จะรองรับลูกค้าให้มากขึ้น
มองอนาคตของจริงใจ ครีเอชั่นไว้ยังไง
ก็มองในระยะใกล้ในปีนี้ก่อนนะคะเพราะถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเรา หลังจากรีแบรนด์ จริงใจครีเอชั่น เป็น JJC GROUP ในปี 2018 ซึ่งถือว่าปีนี้เป็นการรีแบรนดิ้งตัวเองครั้งใหญ่ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ชื่อบริษัท ชื่อโลโก้เราเปลี่ยนหมด เราคงทำงานตามเป้าหมายให้ดีที่สุดรักษามาตรฐานเพื่อความพึงพอใจของลูกค้า โครงสร้างการทำงานแต่ละส่วนก็ตั้งใจทำงานให้บรรลุเป้า ก้าวสู่แถวหน้าของวงการเอเจนซี่ในเมืองไทยและถ้าโชคดีเราคงได้ขยับขยายไปในประเทศ AECค่ะ ฝนจะเป็นคนที่ชอบมองปัจจุบัน ตั้งใจทำปัจจุบันให้ดี อนาคตจะดีเอง ที่สำคัญไม่ว่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นอะไร “ความจริงใจต่อลูกค้า”นี่คือแนวทางการทำงานของฝนตลอดมาและตลอดไป
ด้วยบุคลิกที่เป็นกันเองและมุมมองที่เป็นบวกของคุณฝน ซึ่งเธอย้ำกับเราอยู่ตลอดในช่วงเวลาที่คุยกันว่า ในวิกฤตก็มีโอกาส เพียงแต่เราต้องกลับมามองและแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง เพื่อปรับตัวไปตามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่า การเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ยังเป็นคุณสมบัติสำคัญไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไรอยู่ก็ตาม และความสำเร็จของ “จริงใจ ครีเอชั่น” ที่กำลังเติบโตขึ้นเป็น “JJC GROUP” นี้ก็คงเป็นอีกตัวอย่างที่พิสูจน์ให้เห็นได้เป็นอย่างดี