1

งานแถลงข่าวแผนการดำเนินงานปี 2557 และงานสัมมนา Exclusive Investment Outlook 2014

KSAM ตั้งเป้าเอยูเอ็ม 2.4 แสนล้าน พร้อมรักษาความเป็นผู้นำในกองทุนหุ้น

บลจ.กรุงศรี ตั้งเป้าเพิ่มเอยูเอ็ม 24% พร้อมรักษาความเป็นผู้นำในกองทุนหุ้นและขยายฐานกองตราสารหนี้ ควบคู่ไปกับการพัฒนาบริการด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)กรุงศรี เปิดเผยว่า “สำหรับทิศทางการลงทุนของบริษัทในปี 2557 บริษัทตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM)          ที่ 2.4 แสนล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 24% จากสิ้นปี 2556 ที่อยู่ระดับ 1.9แสนล้านบาท  โดยแผนการดำเนินงานในปีนี้จะมุ่งเน้นการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในส่วนของกองทุนหุ้น กองทุน LTF  และกองทุน RMF  พร้อมขยายฐานกองทุนตราสารหนี้ผ่านเครือข่ายสาขาธนาคารกรุงศรีทั่วประเทศ  และมุ่งมั่นรักษาคุณภาพของกระบวนการลงทุน และการบริหารจัดการกองทุนให้มีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในกองทุนหุ้น”

“ส่วนแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัทยังคงศึกษาและแสวงหาโอกาสและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับสภาวะตลาด นอกเหนือจากการเสนอขายกองทุนตราสารหนี้แบบมีกำหนดระยะเวลาในทุกสัปดาห์  โดยบริษัทมีแผนการออกกองทุนรวมในต่างประเทศเพิ่มเติม เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว เพื่อให้ลูกค้าสามารถจัดสรรการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในอนาคต”

“ในส่วนของการขยายฐานลูกค้า บริษัทตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มอีก 54,000 ราย หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 28%  โดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของเครือข่ายของ BTMU (The Bank of Tokyo-Mitsubishi UFJ, Ltd.) ที่มีความแข็งแกร่งในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่นซึ่งเป็นการเจาะลูกค้ากลุ่มใหม่ และการขยายฐานลูกค้ารายย่อยผ่านเครือข่ายธนาคารกรุงศรีกว่า 600 สาขาทั่วประเทศ บริษัทมีแผนจะเพิ่มพนักงานเพื่อดูแลสาขาต่างจังหวัดและเดินสายพบเจ้าหน้าที่และลูกค้าต่างจังหวัดเพิ่ม การทำวิจัยเพื่อสำรวจทัศนคติและพฤติกรรมของลูกค้า และจัดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อให้สามารถให้บริการได้ตรงตามวัตถุประสงค์และพฤติกรรมการลงทุนของลูกค้าแต่       ละกลุ่ม เป็นต้น”

“บริษัทยังให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้ในการลงทุนให้กับลูกค้าผ่านการจัดกิจกรรมและงานสัมมนาต่างๆ ทาง access PL@CE  เพื่อให้ผู้ลงทุนมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุน ตลอดจนสามารถกำหนดเป้าหมายและวางแผนการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ   และสามารถจัดพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้โดยหลีกเลี่ยงการลงทุนแบบซื้อขายตามการขึ้นลงของตลาด เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว  นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งมั่นพัฒนาบริการด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของการพัฒนาบริการลงทุนออนไลน์เพื่อเพิ่มความสะดวกในการทำธุรกรรม  การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้มีความรู้  ความสามารถ และมีคุณภาพดีอย่างต่อเนื่อง  รวมทั้งมีแผนที่จะเพิ่มบุคลากรเพื่อรองรับการแข่งขันกับกองทุนต่างประเทศที่มาลงทุนในประเทศอีกด้วย  ”

“สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2556 ที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จและมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก  โดยบริษัทมีทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารโดยรวมเติบโต 31% การเติบโตของทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารมาจากธุรกิจกองทุนรวมเป็นหลัก โดยธุรกิจกองทุนรวมมีการเติบโตสูงถึง 43% ในขณะที่อุตสาหกรรมกองทุนรวมโต 18% และมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มสูงขึ้นในกองทุนรวมทุกประเภท  สำหรับผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นของ บลจ.กรุงศรี ในปีที่ผ่านมา คือ กองทุนหุ้น และกองทุนตราสารหนี้ โดยเฉพาะในส่วนของกองทุน LTF และ กองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทมียอดเงินลงทุนสุทธิสูงเป็นอันดับหนึ่งของอุตสาหกรรม  คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนใหม่รวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท  และกองทุนหุ้นมียอดเงินลงทุนใหม่กว่า 8,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 83.31%  ซึ่งเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นเพียง 49.26%  นอกจากนี้ บริษัทยังมีจำนวนบัญชีลูกค้าใหม่เพิ่มสูงขึ้น 51% สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่ผู้ลงทุนมอบให้กับบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บลจ.กรุงศรี มุ่งมั่นที่จะรักษาผลการดำเนินงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้ผู้ลงทุนเพื่อสร้างผลประโยชน์ที่สูงสุดแก่ผู้ลงทุนเป็นสำคัญ”

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์  ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า “บริษัทมีมุมมองว่า เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องทั้งสหรัฐฯ และยุโรป โดยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้นทั้งตัวเลขการจ้างงาน ภาคที่อยู่อาศัย การใช้จ่ายของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ             ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังฟื้นตัวดีขึ้น  แต่อย่างไรก็ดี ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงต้นปีอาจดูไม่ดีนัก ซึ่งเป็นผลจากอากาศที่หนาวเย็นกว่าปกติ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯบางส่วนชะลอตัวลงเป็นการชั่วคราว

“ส่วนทางด้านยุโรป มีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของกลุ่มประเทศยูโรโซนบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะฟื้นตัวในอัตราที่สูงขึ้น  ในขณะที่ เยอรมนี ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป มีสัญญาณขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยดัชนีชี้นำต่างๆ ทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นนักวิเคราะห์และนักลงทุน ต่างปรับตัวดีขึ้น  นอกจากนี้ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์และเอสแอนด์พี ต่างทยอยปรับอันดับความน่าเชื่อถือของกลุ่มประเทศที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวที่ดีขึ้น”

ทั้งนี้ การฟื้นตัวของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก จะส่งผลให้ปริมาณการค้าในตลาดโลกมีมากขึ้น  ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อไป จะช่วยหนุนการขยายตัวของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว

“สำหรับเศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปี 2557 นี้ มีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยมีสาเหตุจากหนี้สินภาคครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเมืองภายในประเทศ ส่งผลให้จากภาคครัวเรือนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น  ในขณะที่ภาคธุรกิจชะลอการลงทุนออกไปเพื่อรอความชัดเจนของทิศทางเศรษฐกิจ  แต่อย่างไรก็ดี มีสัญญาณการฟื้นตัวในบางส่วนของภาคการส่งออก ซึ่งน่าจะส่งผลให้การส่งออกโดยรวมปรับตัวดีขึ้นในระยะข้างหน้า  ในขณะที่หากปัญหาการเมืองได้รับการแก้ไข เศรษฐกิจไทยก็น่าจะกลับมาขยายตัวได้ดี เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่งอยู่ และภาคการท่องเที่ยว การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชน น่าจะฟื้นตัวหลังจากที่ความเชื่อมั่นกลับคืนมา  ทั้งนี้ บลจ. กรุงศรี ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว” นายประภาส กล่าว

 

สอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนพิ่มเติม และขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.กรุงศรี จำกัด โทร. 02-657-5757

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุนได้ที่เวปไซด์บริษัทจัดการ www.krungsriasset.com  เอกสารที่เกี่ยวกับกองทุนและคู่มือภาษี   ได้ที่บริษัทจัดการหรือสำนักงานของผู้สนับสนุนการขายก่อนตัดสินใจลงทุน

ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต