ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก อนุมัติงบกองทุนหมู่บ้านฯ ปี 60 อีก 15,000 ล้าน
สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชมเมืองแห่งชาติ (สทบ.)โดย นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) ครั้งที่ 1/2560 อนุมัติงบเพิ่มประจำปี 2560 จำนวน 15,000 ล้านบาท เพื่อต่อยอดการเสริมศักยภาพการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก Local Economy ในระดับหมู่บ้านให้เป็นกลไกสำคัญและสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศ เสริมทัพการขับเคลื่อนโดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนหมู่บ้านและชุมชมเมืองแห่งชาติ
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กล่าวว่า ท่ามกลางบริบทของโลกเปลี่ยนเข้าสู่ยุคดิจิทัล มีการเชื่อมโยงที่มากขึ้น การแข่งขันสูงขึ้นและความแน่นอนน้อยลง ทั้งนี้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) เห็นความสำคัญของกองทุนหมู่บ้านที่เป็นกลไกในการผลักดัน Local Economy ซึ่งเป็นเครือข่ายที่มีสมาชิกจำนวนมากกว่า 13 ล้านคน โดยมีกลไกที่สร้างการมีส่วนร่วมในรูปแบบประชาธิปไตยและการทำงานที่โปร่งใส มีการตรวจสอบทุกขั้นตอน ตามนโยบายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนแห่งชาติเพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ มุ่งเน้นการแก้ปัญหาและพัฒนาศักยภาพประชาชนให้อยู่ดีมีสุข การช่วยเหลือเกษตรกร ธุรกิจ SME วิสาหกิจชุมชน และหมู่บ้านทั่วประเทศ การประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 นี้ เน้นการปฏิรูปขับเคลื่อนการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ โดยกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั้ง 7 หมื่นกว่ากองทุนทั่วประเทศ จะได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากโครงการเพิ่มศักยภาพฯ ตามแนวทางประชารัฐ 15,000 ล้านบาท ภายในเดือนกรกฎาคม 2560
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้ให้ความเห็นชอบแผนงานและแนวทางการฟื้นฟู และพัฒนาศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ในช่วงเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2560 โดยจะพยายามส่งเสริมสนับสนุนให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่มีปัญหาสามารถฟื้นฟูและยกระดับศักยภาพให้สามารถรับการเพิ่มทุน (ล้านที่ 2) ได้มากที่สุดในปีนี้
นายนที ขลิบทอง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชมเมืองแห่งชาติ กล่าวว่า สรุปสาระสำคัญในการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติครั้งที่ ๑ ตามที่คณะกรรมการ กทบ. ได้มอบหมายและมอบอำนาจให้ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลหน่วยงานของรัฐ กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ โดยนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ได้แต่งตั้งนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ และ นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และเลขานุการได้รายงานให้ทราบถึงผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนประจำปี 2559 ซึ่งคณะอนุกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนได้พิจารณาประเมินกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติแล้วอยู่ในระดับดีโดยได้คะแนน 3.5073 นอกจากนี้ ได้รายงานการดำเนินโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ (35,000 ล้านบาท) ในปี 2559 ซึ่งสรุปได้ว่า ได้อนุมัติโครงการไป 66,337 กองทุน วงเงิน 33,131,773,355 บาท (ร้อยละ 94.66 ของเป้าหมาย) โดยโครงการที่เสนอขอและได้รับการสนับสนุนใน 5 อันดับแรก ได้แก่ ร้านค้าชุมชน (ร้อยละ 26.41) น้ำดื่มชุมชน (ร้อยละ 13.31) ปุ๋ย/ยา/เมล็ดพันธ์ (ร้อยละ 12.07) บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตร (ร้อยละ 8.04) และบริการจัดเลี้ยง (ร้อยละ 4.69)
ประธานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ได้มอบหมายเรื่องการปฏิรูปพัฒนาหมู่บ้าน 4.0 เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและชุมชน รองรับการพัฒนาประเทศสู่เป้าหมายไทยแลนด์ 4.0 พร้อมทั้ง 5 แนวทางยุทธศาสตร์หมู่บ้าน 4.0 คือ 1. สร้างความเข้มแข็งให้กองทุนหมู่บ้าน โดยให้ความรู้แก่กองทุนฯ มีกองทุนพี่ มีบทเรียนและแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกัน 2. ให้บริการประชาชน กองทุนหมู่บ้านฯ ใดเข้มแข็งแล้วก็ช่วยชุมชมหมู่บ้าน ช่วยปลดหนี้นอกระบบ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย 3. สร้างสินค้าเอกลักษณ์เพื่อพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน ภายใต้บริบทกองทุน เชื่อมโยงพัฒนาหมู่บ้านกับเอกลักษณ์และท่องเที่ยว ชุมชน นำอินเตอร์เน็ตมาใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินงานของกองทุน 4. ใช้กองทุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน เมื่อฐานสามเหลี่ยมขยับก็จะขยับขับเคลื่อนภาพรวมได้ ปี2559 จำนวน 35,000 ล้านบาท และปี 2560 จำนวน 15,000 ล้านบาท 5. สร้างผู้นำสัมมาประชารัฐ ปี2560 เป้าหมาย 8,000 คน ทั้งผู้นำด้านเศรษฐกิจ ส่งเสริมผู้ประกอบการ, ผลิตภัณฑ์และตลาด รวมทั้ง ผู้นำด้านสังคม ส่งเสริมสวัสดิการ, ผู้สูงอายุ, เด็ก, คนว่างงาน, ผู้พิการ