กสร. เผยผลสอบนายจ้างขนซากเครื่องบิน พบผิดฐานจ้างแรงงานเด็ก

0
501
image_pdfimage_printPrint

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เผยผลสอบข้อเท็จจริงกรณีลูกจ้างขนซากเครื่องบินประสบอันตรายจากการทำงาน และร้องนายจ้างใช้แรงงานเด็กไม่ถูกกฎหมาย พบนายจ้างทำผิดจริงฐานจ้างแรงงานเด็ก และฝ่าฝืนกฎหมายความปลอดภัยทำให้ลูกจ้างเสียชีวิต พร้อมร้องทุกข์กล่าวโทษเอาผิดนายจ้างแล้ว
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุล เพื่อเด็กและสตรี นำลูกจ้างซึ่งเป็นคนขับรถบรรทุกขนซากเครื่องบินของบริษัทเอกชนมาพบเพื่อร้องขอความเป็นธรรมเนื่องจากถูกนายจ้างให้ทำงานขนย้ายซากเครื่องบินจากจังหวัดชลบุรีไปจังหวัดนครสวรรค์จนประสบอุบัติเหตุไฟช็อตทำให้เพื่อนร่วมงานเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 3 คน รวมทั้งให้ตรวจสอบกรณีนายจ้างมีการใช้แรงงานเด็กไม่ถูกต้องตามกฎหมายและค้างจ่ายค่าจ้าง ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ กสร.ได้สั่งการให้สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9 และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนครปฐม ดำเนินการสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน พบว่า นายจ้างกระทำผิดจริงโดยรับลูกจ้างเข้าทำงานในขณะที่มีอายุไม่ถึง 15 ปี เข้าข่ายการใช้แรงงานเด็ก และมิได้มีการแจ้งการใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ต่อพนักงานตรวจแรงงานภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่เด็กเข้าทำงาน จำนวน 2 คน จึงได้มอบหมายให้พนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9 ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษนายจ้างต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลดอนเมืองเรียบร้อยแล้ว ส่วนประเด็นการค้างจ่ายค่าจ้างพบว่านายจ้างมีการค้างจ่ายค่าจ้างจริง และพนักงานตรวจแรงงานได้มีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างและค่าจ้างในวันลาป่วยที่ค่าจ้างให้กับลูกจ้างแล้ว
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า สำหรับกรณีความผิดตามกฎหมายความปลอดภัย พนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนครสวรรค์ได้ดำเนินการสอบสวน พบว่า นายจ้างกระทำฝ่าฝืนพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 ตามมาตรา 14 คือนายจ้างไม่ได้จัดทำและแจกคู่มือปฏิบัติงานให้ลูกจ้างทุกคนก่อนที่เข้าทำงาน เปลี่ยนงาน หรือเปลี่ยนสถานที่ทำงาน และมาตรา 16 ไม่ได้จัดให้ลูกจ้างได้รับการฝึกอบรมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งความผิดดังกล่าวมีโทษหนักสูงสุดจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และได้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรพยุหะคีรี และคดีอยู่ระหว่างการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป