กลุ่มทรู รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2556 รายได้ และ EBITDA เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

0
218
image_pdfimage_printPrint

กรุงเทพฯ 18 พฤศจิกายน 2556 – บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลการดำเนินงานประจำ
ไตรมาส 3 ปี 2556
ความสำเร็จในการขยายตลาดเชิงรุกของทรูมูฟ เอช และทรูออนไลน์ ส่งผลให้รายได้จากการให้บริการโดยรวมและ EBITDA เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า

กลุ่มทรูมีรายได้จากการให้บริการโดยรวม จำนวน 17.1 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2556 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า จากรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของบริการนอนวอยซ์ของทรูมูฟ เอช และบริการบรอดแบนด์ของทรูออนไลน์ ซึ่งสามารถชดเชยค่าใช้จ่ายทางด้านการตลาดและการขยายโครงข่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้กลุ่มทรูมีกำไรจากการดำเนินงาน ก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า เป็น 4.0 พันล้านบาท

อย่างไรก็ตาม กลุ่มทรูรายงานผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (NIOGO) ไม่รวมภาษีเงินได้รอตัดบัญชี เพิ่มขึ้นเป็น 2.9 พันล้านบาท จากค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย และดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ กลุ่มทรูมีผลขาดทุนสุทธิจำนวนทั้งสิ้น 4.3 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลจากการบันทึกการด้อยค่าของสินทรัพย์โครงข่าย 2G ของทรูมูฟ ซึ่งสัมปทานได้สิ้นสุดเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร กล่าวว่า “ด้วยศักยภาพความพร้อมของกลุ่มทรูในการให้บริการลูกค้าเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด  ทั้งจากเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูงสุด การใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุด รวมถึงการมีคอนเทนต์คุณภาพระดับโลกที่หลากหลายและครบถ้วน เป็นปัจจัยส่งเสริมให้จำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทำให้รายได้จากการให้บริการของกลุ่มทรูเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2556  กลุ่มทรูโมบายมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 22.4 ล้านราย อันเป็นผลจากการมีเครือข่ายคุณภาพสูงผ่านเทคโนโลยี 4G LTE และ 3G ที่ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดในไทยของทรูมูฟ เอช และการนำเสนอแพ็กเกจค่าบริการที่คุ้มค่าร่วมกับดีไวซ์หลากหลายรุ่น ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม

นอกจากนี้ ผลตอบรับที่ดีจากการขยายพื้นที่ให้บริการไปสู่พื้นที่ใหม่ ๆ ในต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่องของทรูออนไลน์  ซึ่งมีความครอบคลุมแล้วกว่า 4.0 ครัวเรือน ใน 61 จังหวัด ร่วมกับการนำเสนอแพ็กเกจ “สุขX2”
ที่มอบความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้าจากการรวมบริการ ULTRA hi-speed Internet จากทรูออนไลน์ และ
เคเบิลทีวีจากทรูวิชั่นส์เข้าด้วยกัน ส่งผลให้ทรูออนไลน์มีจำนวนผู้ใช้บริการบรอดแบนด์รายใหม่สุทธิสูงถึง 68,200 ราย จนมีฐานลูกค้า เพิ่มขึ้นเป็น 1.75 ล้านราย ณ สิ้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา

ในขณะที่ ทรูวิชั่นส์ยังคงเดินหน้าพัฒนาคุณภาพการให้บริการ สรรหาคอนเทนต์คุณภาพ และปรับเพิ่มช่องรายการในระบบ HD เป็นจำนวนที่มากที่สุดในไทยถึง 50 ช่อง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์มของทรูวิชั่นส์ และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า พัฒนาการต่าง ๆ ในทั้ง 3 ธุรกิจหลักนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนความสำเร็จของยุทธศาสตร์คอนเวอร์เจนซ์ และตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการสื่อสาร
ครบวงจรของกลุ่มทรู ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง”

ความมุ่งมั่นในการสร้างแบรนด์ และพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่องของกลุ่มทรู สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าจนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทำให้ กลุ่มทรูได้รับรางวัล “Top 500 Asia Brand” โดยเป็น 1 ใน 500 แบรนด์ที่ได้รับการยอมรับสูงสุดในเอเชีย ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งทรูเป็นบริษัทด้านการสื่อสารโทรคมนาคมไทยเพียงรายเดียวที่ติดอันดับเกณฑ์รางวัล จากสมาคม Asia Brand ร่วมกับองค์กรและสื่อชั้นนำในประเทศจีน นอกจากนี้ การได้รับรางวัลที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง
คานส์ อวอร์ดส์ ในประเภทรายการสารคดีโทรทัศน์ สาขา การศึกษา ของสามเณร ปลูกปัญญาธรรม ปี 2 ซึ่งเป็นรายการเดียวจากไทยและภูมิภาคเอเชียที่ได้รับรางวัลนี้ยิ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพอย่างต่อเนื่องของกลุ่มทรู และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ทรูอีกด้วย

นายนพปฎล เดชอุดม หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มด้านการเงิน กล่าวว่า “แผนปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินของบริษัทให้ดีขึ้นมีความคืบหน้าในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะความชัดเจนหลังจากการได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นให้กลุ่มทรูเข้าทำธุรกรรมกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และขายเงินลงทุนในหุ้นสามัญของ 8 บริษัทย่อยที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของกลุ่ม เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งหากบริษัททำได้ตามแผนที่ตั้งไว้ โครงสร้างเงินทุนของกลุ่มทรูที่ดีขึ้นจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งขึ้น
มีศักยภาพในการแข่งขันที่สูงขึ้น และพร้อมที่จะรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคตอีกด้วย”