กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) บุกจับนากุ้ง นักการเมืองดัง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ติดอ่าวนาง จ.กระบี่ 131 ไร่เศษ ตะลึง นำโฉนดออกปี 2549 มาแสดง ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าคุ้มครองปี 2494 และป่าสงวนแห่งชาติปี 2510 สั่งแจ้งความดำเนินคดี พร้อมอายัติ กอ.รมน.เผย ที่ดินกระบี่ อู้ฟู่ไร่ละกว่า 10 ล้าน ถูกรุกไปแล้ว เกือบ 5 หมื่นไร่ รองอธิบดี ทช.บินพิสูจน์ท่าเทียบเรือใกล้ที่ทำการอุทยานฯพีพี เข้าข่ายรุกป่าชายเลน
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ จ.กระบี่ ตั้งแต่ช่วงเช้านายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ได้นำชุดปฏิบัติการฉลามขาว พร้อมด้วย พ.อ.พงษ์เทพ ประกอบศุขราษฎร์ รองผู้อำนวยการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) จ.กระบี่ พ.อ.สานิตย์ ซ้ายขวัญ จาก ศปป.4 และกำลังเจ้าหน้าที่ จำนวน 50 นาย เปิดยุทธการ ทวงคืนผืนป่าชายเลน ที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองจิหลาด หมู่ที่ 5 ต.ไสยไทย อ.เมือง จ.กระบี่ หลังได้รับแจ้ง ว่ามีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนฯ เพื่อทำนากุ้งจำนวนมาก
โดยเมื่อไปถึง พบสภาพป่าสงวนฯ ถูกบุกรุกทำลาย เป็นบ่อนากุ้งจำนวนหลายสิบบ่อ มีทั้งบ่อที่อยู่ระหว่างอนุบาลลูกกุ้ง และบ่อที่เลี้ยงกุ้งตัวใหญ่ รวมทั้งบ่อที่อยู่ระหว่างเตรียมการจับกุ้งขึ้นมาขาย พร้อมกับโรงเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ อาคารที่พัก คนงาน นายศักดิ์ดา จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้ารังวัดพื้นที่ ขณะเดียวกันได้มีนาย วิเชียร พุ่มบุญคง มาแสดงตนว่าเป็นเจ้าของ นายศักดิ์ดา จึงให้นายวิเชียร นำเอกสารสิทธิ์ มาแสดง โดยนายวิเชียร ได้นำ สค.1จำนวน 1 ฉบับ ที่ออกเมื่อวันที่ 28 พ.ค.2498 จำนวน 16 ไร่ มีนางสมจิตร หว้าฝา เป็นผู้ครอบครอง พร้อม โฉนดที่ดิน จำนวน 2 ฉบับ ฉบับแรก ออกเมื่อวันที่ 23 ส.ค.2549 มีนายสาคร เกี่ยวข้อง อดีต ส.ส. กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ครอบครอง พื้นที่ 10 ไร่ เศษ ฉบับที่ 2 ออกเมื่อวันที่ 14 พ.ย.2549 พื้นที่ 16 ไร่ 70 ตารางวา มีนายสาคร เป็นผู้ครอบครองเช่นกัน นายศักดิ์ดา จึงให้เจ้าหน้าที่ นำแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียม ตั้งแต่ปี 2510,2518,2538 มาเปรียบเทียบ พบว่า สภาพพื้นที่ ที่ถูกบุกรุกปัจจุบัน ในช่วงเวลาดังกล่าว ยังเป็นพื้นที่ป่าสมบูรณ์อยู่ ขณะเดียวกัน ก็ได้นำพระราชกฤษฎีกา กำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าคุ้มครอง ปี พ.ศ.2494 และนำประกาศกรมป่าไม้ ที่ประกาศให้ป่าจิหวาด เป็นป่าสงวนแห่งชาติเมื่อปี 2510 มาแสดง หลังจากที่นายศักดิ์ดาให้เจ้าหน้าที่แสดงแผนที่ดังกล่าว นายวิเชียร ถึงกับพูดไม่ออก เนื่องจากเอกสารสิทธิที่นายวิเชียรนำมาแสดงทั้ง 3 ฉบับ ล้วนออกหลังจากการประกาศตามพระราชกฤษฎีกา 2494 และป่าสงวนแห่งชาติปี 2510 ทั้งสิ้น
ต่อมา เจ้าหน้าที่ ได้มารายงานให้กับนายศักดิ์ดา หลังจากไปตรวจพิสูจน์พื้นที่แล้วเสร็จ พบว่า นากุ้งทั้งหมดมีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติทั้งสิ้น 131-0-46 ไร่ นายศักดิ์ดา จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดี กับนายวิเชียร กับนายสมบูรณ์ เพื่อนเกียรติขจร ซึ่งเป็นเจ้าของ และเป็นผู้ขอใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ ที่มีการบุกรุกดังกล่าว โดยมี ร.ต.อ.นิวัติ ทิมเกตุ รอง สวส.สภ.เมือง กระบี่ เป็นผู้รับแจ้ง
นายศักดิ์ดา ให้สัมภาษณ์ว่า ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองจิหลาด มีพื้นที่ 14,248 ไร่ ถูกบุกรุกโดยการเข้าไปทำนากุ้ง จำนวน 131 ไร่ เศษ เจ้าของแท้จริง คนในพื้นที่รู้กันดีว่าเป็นนักการเมืองระดับชาติ และเอกสารที่นำมาแสดง ทั้ง สค.1 และโฉนดที่ดิน น่าจะเป็นการออกโดยมิชอบ โดยเฉพาะ โฉนดทั้ง 2 ฉบับที่ระบุว่าออกในปี 2549 ไม่น่าจะออกได้ ทั้งนี้สันนิษฐานเบื้องต้นว่า การออกโฉนดในปี 2549 น่าจะเป็นการเดินสำรวจ ซึ่งไม่สามารถนำมาออกเอกสารสิทธิ์ได้ ดังนั้นกรมที่ดินจะต้องเพิกถอน รวมทั้งสิ้น 42 ไร่เศษตามหลักฐานที่นำมาแสดง ส่วนอีกราว 80 กว่าไร่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ทช.ได้แจ้งความดำเนินคดี และห้ามดำเนินการต่อ โดยเจ้าหน้าที่จะมีการปรับพื้นที่ เพื่อให้น้ำทะเลไหลมาท่วม ซึ่งเป็นการฟื้นฟูสภาพป่าชายเลน
ขณะที่ พ.อ.พงษ์เทพ กล่าวว่า ปัญหาการบุกรุกที่ จ.กระบี่ ค่อนข้างรุนแรง เพราะที่ดินมีราคาแพง พื้นที่ ที่มีการบุกรุกทำนากุ้ง อยู่ติดกับบริเวณ อ่าวนาง น่าจะมีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านบาท ต่อไร่ ขณะนี้ จังหวัดกำลังเร่งดำเนินการปราบปราม เนื่องจาก จ.กระบี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว จะปล่อยให้มีการบุกรุกไม่ได้ ทั้งนี้ มีพื้นที่ที่ทั้ง 3 หน่วยงานคือ กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และทช.ต้องรับผิดชอบ จำนวน 1,012,044.66 ไร่ พบพื้นที่ ที่ถูกบุกรุกไปทั้งหมด 49,089.62 ไร่
ต่อมา ช่วงบ่าย นายศักดิ์ดา พร้อมเจ้าหน้าที่ ได้เข้าตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ นากุ้ง ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน สภาพเป็นนากุ้งบนหน้าผา พบนายมนัส อ้นคง มาแสดงตนว่าเป็นผู้เช่าพื้นที่ เพื่อทำนากุ้งจากนายสาคร จำนวน 30 ไร่ไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ เจ้าหน้าที่จึงลงบันทึก เพื่อตรวจสอบ จากนั้นนายศักดิ์ดา ได้นำสื่อมวลชนขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เพื่อตรวจสอบสภาพพื้นที่ โดยมุ่งไปที่ท่าเทียบเรือ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ที่ทำการอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าท่าเทียบเรือดังกล่าว น่าจะบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลน โดยหลังจากนี้ จะมีการตรวจสอบวัดพิกัด ว่า มีการบุกรุกหรือไม่